'สิริ เวนเจอร์ส' เทคโนโลยีกับความยั่งยืน
ความยั่งยืน คือเป้าหมายใหญ่ของ‘สิริ เวนเจอร์ส’ ผ่านนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อสนองความต้องการของลูกบ้านแสนสิริ ในทุกมิติ รวมถึงไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในยุค Lazy Economy และ Work From Home ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการกระตุ้นให้ทุกคนตื่นตั
ปฏิเสธไม่ได้ว่า วิถีชีวิตคนทุกวันนี้ถูกเชื่อมต่อด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรม และสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร และความรู้อย่างไร้ขีดจำกัดเพียงปลายนิ้ว ฉะนั้นผู้ประกอบการในยุคนี้ต้องปรับตัวหันมาใส่ใจกับเรื่องเหล่านี้…หากไม่อยากพลาด “โอกาส” จึงไม่แปลกที่ 'แสนสิริ' ดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่ จะตั้ง ' สิริ เวนเจอร์ส' ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนในรูปแบบ Corporate Venture Capital ,ทำการวิจัยและพัฒนา, สร้างนวัตกรรมพร้อมทั้งลงทุนด้านพร็อพเพอร์ตี้ เทคโนโลยี ที่โฟกัสเรื่องพร็อพเทค
จิรพัฒน์ จันทร์เจิดศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยี บริษัท สิริ เวนเจอร์ส จำกัด กล่าวว่า แม้ว่าธุรกิจเรียลเอสเตทจะยังไม่ได้ถูกดิสรัปจากเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นการซื้อที่ดิน ออกแบบก่อสร้าง จัดการแล้วขาย แต่แนวทางของผู้บริโภค (Journey)ที่ตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการจะถูกดิจิทัลไทซ์ทำให้ทุกอย่างจะเป็นดิจิทัลมากขึ้นใช้คนน้อยลง ความท้าทายในยุคนี้ไม่ได้เกิดการแข่งขันทางธุรกิจ แต่เกิดจาก
“การปรับตัว” ไม่ว่าจะการรับมือกับเทคโนโลยี หรือการกระตุ้นให้ผู้คนในองค์กรตื่นตัวเข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงได้ทันเวลา " ตอนนี้เกิดวิกฤติการแพร่ระบาดของโควิด-19 ยิ่งเป็นแรงกระเพื่อมทำให้ทุกคนต้องให้ความสนใจกับนวัตกรรมและเทคโนโลยี ที่เข้ามาเป็นตัวช่วยให้สามารถอยู่รอดได้เพราะท่ามกลางมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม(Social Distancing)เพื่อหยุดการแพร่ระบาดการติดต่อสื่อสารกันต้องการอาศัยเทคโนโลยี "
จิรพัฒน์ บอกว่าจากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น สิริ เวนเจอร์ส จึง'หมกหมุ่น'ในการศึกษาเทรนด์นวัตกรรมและเทคโนโลยีทั่วโลกที่จะเข้ามาตอบสนองการใช้ชีวิของคน อยู่อาศัยในอนาคตจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรพื้นที่จะใหญ่ขึ้นหรือเล็กลง พฤติกรรมการใช้ชีวิตเขาจะเปลี่ยนไปอย่างไร การเลือกเทคโนโลยีที่เข้ามาใช้ต้องสามารถที่จะแก้ปัญหาของผู้อยู่อาศัยได้เราจึงมองพฤติกรรมของคนก่อนจึงต่างจากบริษัทเทคโนโลยีทั่วไปที่มักให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีใหม่เข้ามาแล้วให้ผู้บริโภคลองใช้ แต่เรามองกลับกันว่า คนต้องการอะไรคนมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปอย่างไร คนจะมีปัจจัยภายนอกอะไรที่เข้ามากระทบกับชีวิตเขาทำให้ชีวิตเขาเปลี่ยนไปแล้วค่อยมองว่า เทคโนโลยีอะไรที่เหมาะกับเฉะนั้นสิ่งที่นำเข้ามา สิ่งที่ลงทุนให้แสนสิริใช้จะต้องตอบคนที่เป็นลูกบ้าน หรือคนที่คาดว่าจะมาซื้อบ้านของแสนสิริหรือแม้แต่คนในแสนสิริเอง
จากการศึกษาพบว่า เทรนด์ใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับวงการอสังหาฯ เริ่มจากการที่คนมีชีวิตยืนยาวขึ้น ประเด็นที่ต้องมองคือจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นมีคนอายุ60-70ปีอาศัยอยู่ในตึกมากขึ้น ในฐานะผู้ประกอบการที่สร้างที่อยู่อาศัย ต้องใส่ใจในการออกแบบสิ่งอำนวยความสะดวกสบายให้กับคนกลุ่มนี้มากขึ้นด้วยหลักการออกแบบอารยสถาปัตย์ (Universal Design)สำหรับทุกคนทุกคนเพื่อรองรับการใช้ชีวิตมากกว่า1เจนเนอร์เรชั่นในบ้านมากขึ้น หรือแม้แต่การพฤติกรรมการอยู่คนเดียวมากขึ้น
ถัดมาคือการที่ผู้คนเข้ามาอยู่ในเมืองมากขึ้นสอดคล้องกับรายงานของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ที่ระบุว่า จะมีประชากรโลกราว 68 เปอร์เซ็นต์หรือจำนวน 2,500 ล้านคน ที่อาศัยอยู่ในเมือง ภายในปี ค.ศ.2050 ตามการเจริญเติบโตของเมืองส่งผลให้ให้จำนวนตึกสูงเยอะมากขึ้น พื้นที่อยู่อาศัยจะเล็กลงเพราะพื้นที่มีจำนวนเท่าเดิม ขณะที่คนมีของเยอะขึ้น หรือแม้แต่การเดินทางเข้ามาสู่มาพักอาศัย รวมถึงไลฟ์สไตล์ในการอยู่อาศัยของลูกบ้านที่ต้องการพื้นในการทำงานที่สะดวกสบายขึ้น เนื่องจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตคนเปลี่ยนคนเข้าออฟฟิศน้อยลงทำงานที่บ้านมากขึ้น ส่งผลต่อการออกแบบโครงการที่ตอบโจทย์พฤติกรรมความต้องการที่เปลี่ยนไป
จิรพัฒน์ ระบุว่า ในฐานะคนที่ดูแลเทคโนโลยีก็ต้องมองว่า มีเทคโนโลยีอะไรมาตอบปัญหาเหล่านี้ ได้บ้าง ควรต้องมีไวไฟที่เร็วเพื่อรองรับการใช้งานของลูกบ้านมากขึ้นระหว่างที่ทำงานในพื้นที่โคเวิร์คกิ้งสเปซส่วนกลางซึ่งไลฟ์สไตล์เหล่านี้จะถูกหล่อมรวมในการดีไซน์ที่อยู่อาศัยรวมถึงบริการ ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อโครงการของคนที่จะมาเป็นลูกบ้านแสนสิริในอนาคต สำหรับเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทในอสังหาฯ นั้น จิรพัฒน์ มองว่า จะเกี่ยวข้องกับ4 เรื่องหลักได้แก่ 1.การก่อสร้าง 2.การซื้อขายและการจัดการ 3 . การอยู่อาศัย และ4. สุขภาพความเป็นอยู่ที่ดีของผู้อยู่อาศัย
ในส่วนของสิริ เวนเจอร์สเป็น อินเวนเมนต์ เทคโนโลยีให้กับแสนสิริ ที่มองหาดิสรับทีฟเทคโนโลยี และสร้างพาสเนอร์ให้กับแสนสิริ ยกตัวอย่าง การตรวจรับงานจะใช้คนน้อยลง ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence) หรือ เอไอมาช่วยในการออกแบบเพื่อลดความผิดพลาด หรือในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยให้กับลูกบ้าน ด้วยการตรวจจับ เสียงที่ผิดปกติ เช่น เสียงร้องขอความช่วยเหลือ เสียงปืน เสียงกระจกแตกด้วยเซนเซอร์ไมโครโฟนของ SoundEye ได้เข้าไปมีส่วนช่วยตรวจจับเสียงผิดปกติ หรือ รถยนต์ไฟฟ้าไร้คนขับ ในการขนส่งผู้โดยสารจากโครงการที่อยู่อาศัยไปยังรถไฟฟ้า เป็นต้น
"สิ่งเหล่านี้จะสร้างความแตกต่างให้กับแสนสิริ จาก(คู่แข่ง)รายอื่นได้อย่างชัดเจน เพียงแค่นำเทคโนโลยีทีเข้ามาช่วยแก้ปัญหาของผู้อยู่อาศัยได้ ตรงจุด ตอบโจทย์ความต้องการและไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต ที่เปลี่ยนไป " ถึงแม้ว่าปัจจัยการตัดสินใจเลือกซื้อที่อยู่อาศัย ทำเลที่ตั้งของโครงการ ที่ ใกล้สถานที่ทำงาน โรงเรียน และสิ่งอำนวยความสะดวกสบายต่างๆยังคงเป็นอันดับแรก รองลงมา คือ ราคาของที่อยู่อาศัยที่สอดคล้องกับความสามารถหรือกำลังซื้อ สภาพแวดล้อมของโครงการรวมถึงระบบสาธารณูปโภค ความปลอดภัย ซึ่งเทคโนโลยีจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับความปลอดภัย และการประหยัดค่าใช้จ่าย ทำให้เกิด "คุ้มค่า"
ในการลงทุน เพราะอยู่แล้วสบายใจทั้งเรื่องความปลอดภัยและการประหยัดค่าใช้จ่าย จากการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ อาทิ การติดตั้งสมาร์ทมิสเตอร์น้ำ สมาร์ทมิสเตอร์ไฟเพื่อ สร้างความอุ่นใจกับลูกบ้านในการมอนิเตอร์การใช้งานอย่างใกล้ชิด สามารถป้องกันเหตุการณ์ที่ไม่พึ่งประสงค์ รวมทั้งบริหารจัดการการใช้น้ำไฟได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะกลายเป็นปัจจัยหนึ่งในการตัดสินใจเลือกซื้อที่อยู่อาศัย ในอนาคต
" เทคโนโลยีของเราไม่ใช่ กิมมิก หรือพีอาร์แวร์ลู แต่เรามองเรื่องของความยั่งยืนในระยะยาว ยกตัวอย่าง โฮมเซอร์วิสแอพฯทีมงานยังคงพัฒนาอยู่ทุกวัน ฉะนั้นเทคโนโลยีที่แสนสิริทำให้ลูกบ้านไม่ใช่กิมมิกแน่นอน หรือการพัฒนา รถยนต์ไฟฟ้าไร้คนขับจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกสบายให้ลูกบ้านมีเทคโนโลยีใหม่ใช้ แต่ไม่ได้ทำแข่งกับรถไฟฟ้าแบรนด์ดังๆ "