OSP - ถือ
ผลประกอบการ 1Q63: เป็นไปตามคาด
Event
กำไรสุทธิของ OSP ใน 1Q63 อยู่ที่ 926 ล้านบาท (+4.2% YoY, +1.5% QoQ) ซึ่งเป็นไปตามที่เราคาดไว้โดยกำไรที่เพิ่มขึ้น YoY เป็นเพราะยอดขายเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นในขณะที่กำไรที่เพิ่มขึ้น QoQ มาจากส่วนแบ่งกำไรบริษัทร่วมที่ดีขึ้น ทั้งนี้ กำไรสุทธิใน 1Q63 คิดเป็น 24.1% ของประมาณการกำไรปีนี้ของเรา
lmpact
GPM ยังคงอยู่ในขาขึ้น ในขณะที่ส่วนแบ่งกำไรบริษัทร่วมดีดตัวขึ้น
อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ของ OSP เพิ่มขึ้นเป็น 35.4% ใน 1Q63 จาก 34.8% ใน 1Q62 และ 35.0% ใน 4Q62 จากความสำเร็จของโครงการบริหารจัดการต้นทุน Fit Fast Firm (FFF) ซึ่งรวมถึงการปรับสูตร M-150 ทั้งนี้ ถ้าหากว่า OSP สามารถรักษา GPM เอาไว้ที่ระดับนี้ได้ ก็จะทำให้มี upside ต่อสมมติฐาน GPM ปี 2563F ที่ 35.2% นอกจากนี้ ผลประกอบการไตรมาสแรกยังได้แรงหนุนจากส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมซึ่งเข้ามาที่ 62 ล้านบาท สูงขึ้นจากระดับที่ต่ำผิดคาดใน 4Q62 ที่ 3 ล้านบาท
ส่วนแบ่งตลาด M-150 ที่เพิ่มขึ้น และอุปสงค์ที่แข็งแกร่งของ C-Vitt ช่วยหนุนยอดขาย
รายได้รวมของ OSP อยู่ที่ 6.7 พันล้านบาทใน 1Q63 (+5.0% YoY, +1.0% QoQ) ซึ่งเป็นไปตามประมาณการของเรา โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้น YoY มาจาก 1) สถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งของ M-150 ในตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศ โดยส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น 110 bps YoY เป็น 38.3% และ 2) ยอดขาย CVitt เพิ่มขึ้น 16.1% YoY อย่างไรก็ตาม ยอดขายผลิตภัณฑ์ส่วนบุคคล (PC) ลดลงเหลือ 617 ล้านบาท (-4.8% YoY, -9.0% QoQ) เนื่องจากยอดขายในต่างประเทศที่อ่อนแอ
จะเปิดโรงงานเครื่องดื่มแห่งใหม่ในเมียนมาร์ใน 2Q63
เราคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นของ OSP จะดีขึ้นใน 2Q63 จากการเริ่มเปิดโรงงานบรรจุเครื่องดื่มในเมียนมาร์ นอกจากนี้ บริษัทก็ยังน่าจะได้อานิงส์จากการขยายกำลังการผลิตใน 2H63 ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตเครื่องดื่มในประเทศเพิ่มขึ้นอีก 10%-15% ด้วย
Valuation & action
เราเชื่อว่าสถานะผู้นำในตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศของ OSP จะช่วยให้บริษัทรับมือภาวะการบริโภคที่อ่อนแอจากสถานการณ์ระบาดของ COVID-19 ได้ ในขณะที่โครงการบริหารจัดการต้นทุนที่ปฏิบัติได้จริงอาจจะทำให้สมมติฐาน GPM ของเรามี upside อีก แต่อย่างไรก็ตาม จากราคาปิดล่าสุดเหลือ upside ถึงราคาเป้าหมายที่อิงจาก PER ของเราที่ 45.00 บาท อีกไม่มากแล้ว ดังนั้น เราจึงยังคงคำแนะนำ ถือ OSP
Risks
ความล่าช้าในการเปิดโรงงานผลิตเครื่องดื่มใหม่ในเมียนมาร์ ประหยัดต้นทุนได้น้อยกว่าที่คาดไว้ และส่วนแบ่งตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศลดลง