ส่องอนาคต ‘JFIN Coin’ หวัง‘ลิบรา-ดิจิทัลหยวน’ดันตลาดบูม
สกุลเงินดิจิทัลเริ่มกลับมาเป็นที่สนใจของคนทั่วไปอีกครั้ง หลังเกิด “วิกฤติโรคระบาด” จากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือ “โควิด-19” ทำให้ผู้บริโภคนิยมชำระเงินในรูปของ “ดิจิทัล” มากขึ้น ซึ่งกำลังจะกลายเป็น New Normal หรือ “ความปกติใหม่” ของสังคมไทย
“ธนวัฒน์ เลิศวัฒนารักษ์”หรือ“ทาโร่” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด(JVC) บริษัทในเครือ บมจ.เจมาร์ท(JMART) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเหรียญโทเคนดิจิทัล “JFin Coin” กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ถึงอนาคต “JFIN Coin” ว่า นับจากบริษัทได้ออก “JFIN Coin” ด้วยการระดมทุนแบบ ICO จำนวน 100 ล้านโคเทน ที่ราคา 6.60 บาทต่อโทเคน หรือมูลค่ากว่า 660 ล้านบาทในช่วงปี 2561 ทางบริษัทได้นำเงินจากการระดมทุนครั้งนั้นมาพัฒนาแอพพิเคชั่นและสร้างแพลตฟอร์มการเงินต่างๆ ที่เชื่อมโยงกันตามเป้าหมายที่ระบุไว้ในไวเปเปอร์ (White paper) เพื่อดึงดูดให้คนได้มาใช้บริการเหรียญ JFIN Coin ที่แพร่หลายเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แต่เนื่องจากเหรียญ JFIN Coin ไม่ได้มีแพลตฟอร์มที่มีฐานคนใช้อยู่แล้วเหมือนอย่างเจ้าอื่นๆ ที่กำลังจะดำเนินการ อาทิ “ดิจิทัลหยวน” ของธนาคารกลางจีน และ “ลิบราเวอร์ชั่น 2.0” ของยักษ์ใหญ่โซเชียลมีเดียโลกอย่าง “เฟซบุ๊ค” จึงต้องสร้างแพลตฟอร์มและแอพพิเคชั่นต่างๆของตัวเองขึ้นมาใหม่เพื่อให้คนนำไปใช้ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนให้หันมาใช้เงินดิจิทัลอาจต้องใช้เวลาระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตามถือว่าสถานการณ์โควิด-19 จะเป็นตัวเร่งให้คนปรับพฤติกรรมการใช้เงินดิจิทัลให้รวดเร็วมากขึ้น
ส่วนความหวังของนักลงทุนที่ลงทุนเหรียญ JFIN Coin ตั้งแต่ช่วงราคา ICO ว่า จะปรับตัวขึ้นมาในระดับเดิมได้หรือไม่นั้น มองว่าเรื่องนี้เป็นเป้าหมายของตัวเองเช่นกัน ซึ่งตราบใดที่ตนเองยังอยู่จะทำให้ราคาเหรียญ JFIN Coin กลับขึ้นมายืนในระดับเดียวกับราคา ICO เพราะโดยส่วนตัวก็ได้นำเงินมาลงทุนในเหรียญ JFIN Coin เช่นกัน มูลค่ากว่า 2 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ราคาเหรียญจะขึ้นหรือลง ต้องอาศัยกลไกดีมานด์และซัพพลายของเหรียญ ซึ่งยอมรับว่าอาจต้องใช้เวลาในการสร้าง โดยที่ผ่านมาการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคน ยังค่อนข้างช้า ประกอบกับการที่บริษัทพยายามสร้างแอพพิเคชั่นให้คนได้ใช้มากขึ้น แต่กลับทำได้ในวงที่ค่อนข้างจำกัดอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม หลังวิกฤติโควิด เชื่อว่าบทบาทของเงินดิจิทัลจะมีมากขึ้นในอนาคต และจะช่วยเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้เงินของคนไทยแน่นอน
ทาโร่ บอกด้วยว่า ตอนที่บริษัทระดมทุนขายโทเคนนั้นมีนักลงทุนที่เข้าซื้อรวม 2,000 ราย ปัจจุบันอาจลดลงเหลือราว 1,500 ราย หากในอนาคตบริษัทสามารถสร้างแอพพิเคชั่นที่ทำให้เกิดความต้องการใช้เหรียญเพิ่มมากขึ้นถึงระดับประมาณ 1-1.5 หมื่นคนต่อวัน ราคาของJFIN Coin ก็มีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นไปได้
“หากผมสามารถทำให้ราคาเหรียญขึ้นไปสูงกว่าที่ซื้อมา ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเปลี่ยนรูปแบบของเหรียญจากที่มีลักษณะเป็น Utility มาเป็น stable coin ซึ่งจะมีสินทรัพย์อ้างอิงอยู่ข้างหลัง”
ทาโร เชื่อว่า แนวโน้มสกุลเงินดิจิทัลที่เป็นรูปแบบ stable coin จะมีบทบาทเพิ่มมากขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน เพราะทุกวันนี้ก็เริ่มเห็นการเข้ามาแล้วโดยเฉพาะหลังจากการกระโดดเข้ามาของ 2 สกุลใหญ่ของโลกอย่าง “ดิจิทัลหยวน” และ “ลิบราเวอร์ชั่น 2.0” ที่คาดว่าปีหน้าจะเริ่มมีความชัดเจนและเปิดให้ใช้เหรียญได้
เขามั่นใจว่า การเปิดตัวของ 2 สกุลเงินนี้ จะช่วยสร้างปรากฏการณ์ให้พฤติกรรมของคนเข้ามาใช้เงินดิจิทัลได้รวดเร็วมากขึ้น เนื่องจากทั้งสองเจ้าต่างก็มีฐานของผู้ใช้งานที่มีจำนวนมากอยู่แล้ว
นอกจากนี้เชื่อว่าการก้าวเข้ามาของ 2 สกุลเงินดิจิทัลในครั้งนี้ เป็นเรื่องที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะเปรียบเสมือนกับการทำสงครามด้านการเงินของทางฝั่งสหรัฐฯและจีนที่ต้องการแย่งชิงกันเป็นผู้นำด้านสกุลเงินของโลกจากเดิมที่สหรัฐฯเป็นมหาอำนาจการเงินของโลกอยู่ เนื่องจากจำนวนคนที่มีความต้องการใช้สกุลเงินดอลลาร์มากที่สุดของโลก
อย่างไรก็ตามหากท้ายที่สุดแล้วบทบาทของเงินดิจิทัลเข้ามาเปลี่ยนแปลงทางด้านการเงินของโลกและของไทยมากขึ้น เชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) คงไม่อยู่นิ่งเฉย เพราะปัจจุบันก็ได้มีการพยายามศึกษาและแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคาดว่าไทยก็อาจจำเป็นต้องมีการออกสกุลเงิน “ดิจิทัลไทยบาท”เช่นกัน เพื่อปรับตัวและรองรับกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปในอนาคต