Fund Flow หนุน
ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนพ.ค.ของสหรัฐออกมาดีกว่าคาดโดยลดลงเพียง 2.76 ล้านตำแหน่ง
ตลาดหุ้นเมื่อวันอังคาร
SET Index พุ่งแรง 22 จุด (+1.61%)ปิดที่ระดับ 1,374 จุด ปิดสูงสุดในรอบเกือบ 3 เดือน มูลค่าการซื้อขายหนาแน่น 7 หมื่นล้านบาท ดัชนีปรับขึ้นในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลกโดยมีปัจจัยหนุนเดียวกับภาคเช้าคือนักลงทุนคาดหวังเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวหลังประเทศต่างๆ ผ่อนคลายล็อกดาวน์, ดัชนี PMI ภาคการผลิตของ จีน สหรัฐ และยุโรป กลับมาเพิ่มขึ้นในเดือน พ.ค. หนุนแรงเก็งกำไรคึกคักในหุ้นกลุ่มพลังงาน ส่วนนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 2,090 ล้านบาท และซื้อสุทธิในตลาดพันธบัตร 5,893 ล้านบาท อีกทั้ง Net Long TFEX SET50 3,186 สัญญา
แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้
เรามีมุมมองเป็นบวกคาด SET ปรับตัวขึ้นทดสอบ 1,390 – 1,400 จุด ตามคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจที่ผ่านจุดต่ำสุดจากผลกระทบ Covid-19 ไปแล้วและจะฟื้นตัวขึ้นหลังหลายประเทศผ่อนปรน Lockdown รวมถึงออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม นอกจากนี้ดัชนียังได้แรงหนุนจากตัวเลข PMI ภาคบริการของจีนเดือนพ.ค.พุ่งขึ้นสู่ระดับ 55 จุด รวมถึงตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนพ.ค.ของสหรัฐออกมาดีกว่าคาดโดยลดลงเพียง 2.76 ล้านตำแหน่ง ส่งผลให้ทิศทาง Fund flow ต่างชาติพลิกกลับมาเป็น Net Buy 3.5 พันลบ. (MTD.) ซึ่งหนุนต่อภาวะตลาดในช่วงนี้
** วันนี้ติดตามการประชุมกลุ่มโอเปกพลัสว่าจะขยายระยะเวลาการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันออกไปหรือไม่
กลยุทธ์การลงทุน: Selective Buy
- AMATA WHA คมนาคมเตรียมสรุปโครงสร้างพื้นฐานด้านขนส่ง EEC เฟส 2 ใน 1 เดือนก่อนชงเรื่องต่อให้กพอ.
- กลุ่มพลังงาน (PTT, PTTEP, TOP, PTTGC, IRPC, SPRC, IVL) อานิสงส์ราคาน้ำมันดิบทรงตัวเหนือ 36 US/Barrel
- กลุ่มที่คาดว่างบ 2Q20 จะเติบโตขึ้น (CKP, TASCO, STA, RS)
- หุ้นที่คาดว่าจะเข้าคำนวณ SET50 /100 รอบใหม่ SET50 ( BPP,TTW ) SET100 (ACE, DOHOME, RBF, SIRI , SISB, TVO, WHAUP)
หุ้นแนะนำวันนี้
- PTTGC (46.5 50) ผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว, คลาย lockdown ช่วยเพิ่มดีมานด์ทั้งฝั่งปิโตรฯและโรงกลั่น และยังได้เปรียบต้นทุนเพราะ PTTGC ใช้ก๊าซเป็นวัตถุดิบราคาจะปรับขึ้นช้ากว่าคู่แข่งที่ใช้นาฟทาซึ่งราคาจะปรับขึ้นตามราคาน้ำมันทันที
- HMPRO (15.1IAA Consensus 16.5 ) ได้ประโยชน์โดยตรงจากการที่ภาครัฐอนุญาติให้ห้างฯ รวมถึงร้านวัสดุก่อสร้า กลับมาเปิดทำการได้ ขณะที่การปลดล็อกกิจกรรมเศรษฐกิจในเฟสที่ 3 ช่วยเพิ่มยอดเข้าใช้บริการกว่าเท่าตัว ทำให้เป็นไปได้ว่าผลประกอบการของ HMPRO ในช่วง 2Q10 อาจจะไม่ได้แย่อย่างที่ตลาดกังวล และจะเห็นการฟื้นตัวได้ดีตั้งแต่ 3Q20
บทวิเคราะห์วันนี้
VGI (ปิด 7.9 ปรับลดเป็นถือ/เป้า 8.6)
ประเด็นสำคัญวันนี้
- (+) ดาวโจนส์บวกแรงกว่า 500 จุด ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้นแรงคาดหวังเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวเร็วกว่าที่คาดไว้: เมื่อคืนที่ผ่านมาดัชนีดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 527 จุด (+2%) ปิดที่ระดับ 26,270 จุด เช่นเดียวกับตลาดหุ้นอื่นๆทั่วโลกที่ปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรง เนื่องจากนักลงทุนคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะกลับมาฟื้นตัวได้เร็วกว่าที่คาด จากการผ่อนคลายมาตรการ lockdown ของประเทศต่างๆ สะท้อนผ่านตัวเลขเศรษฐกิจที่ทยอยดีขึ้น อาทิ ดัชนี PMI ภาคการผลิตและบริการของประเทศเศรษฐกิจหลัก (จีน ยุโรป และสหรัฐ) ปรับตัวสูงขึ้นในเดือน พ.ค., ตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนสหรัฐเดือน พ.ค.ลดลงเพียง 2.76 ล้านตำแหน่ง เทียบจากเดือน เม.ย.ที่ลดลง 19.6 ล้านตำแหน่ง และน้อยกว่าที่ Consensus คาดว่าจะลดลง 8.75 ล้านตำแหน่ง
- (+) ราคาน้ำมันดิบ WTI ยังขึ้นต่อ ตอบรับตัวเลขสต๊อกน้ำมันดิบของสหรัฐลดลง ส่วนวันนี้รอดูการประชุมของกลุ่ม OPEC+: ราคาน้ำมันดิบ WTI ยังเดินหน้าเพิ่มขึ้นต่อเนื่องล่าสุดเพิ่มขึ้นอีก 48 เซนต์ (+1.3%) ปิดที่ระดับ 37.29 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล สูงสุดในรอบเกือบ 3 เดือน หลังจาก EIA รายงานตัวเลขสต๊อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ของสหรัฐลดลง 2.1 ล้านบาร์เรล สวนทางที่ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3.5 ล้านบาร์เรล อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นเพียงเล็กน้อยเนื่องจากนักลงทุนยังรอดูความชัดเจนจากการประชุมของกลุ่ม OPEC+ ในวันนี้ว่าที่ประชุมจะขยายเวลาการปรับลดกำลังการผลิตที่ระดับ 9.7 ล้านบาร์เรลต่อวันออกไปอีก 1-2 เดือนตามคาดการณ์ของตลาดหรือไม่ (ประเด็นนี้ยังมีความไม่แน่นอนหลังจากสำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า OPEC+ อาจเลื่อนการประชุมในวันนี้ออกไป)
- (+) ECB meeting คาดคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0% ตามเดิม และเดินหน้าซื้อสินทรัพย์ตามโครงการ (APP+PEPP) หรือ QE ต่อ: เราคาดว่า ECB จะยังเดินหน้าผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อเนื่อง โดยคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0% และ คงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ -0.5% ตามเดิม ส่วนโครงการ QE เราคาดว่า ECB จะเดินหน้าซื้อสินทรัพย์ผ่าน 2 โครงการ ต่อเนื่อง คือ 1) เข้าซื้อสินทรัพย์ตามโปรแกรม (APP) จำนวน 2 หมื่นล้านยูโรต่อเดือน และ 2) ซื้อสินทรัพย์ตามโครงการซื้อสินทรัพย์ฉุกเฉินจากโรคระบาด (PEPP) วงเงิน 7.5 แสนล้านยูโร ไปจนถึงสิ้นปี 2020