'SET INDEX' ผันผวนเพิ่มมากขึ้น
ส่องปัจจัยที่ทำให้ "ตลาดหุ้นทั่วโลก" มีอาการผันผวนมากกว่า 2 เดือนที่ผ่านมา สะท้อนจากดัชนีสวิงปรับตัวขึ้นหรือลงในระดับเกินกว่า 1% บ่อยครั้ง
นักลงทุนสังเกตมั้ยครับ ตลาดหุ้นทั่วโลก ในสัปดาห์ที่แล้วมีอาการผันผวนมากกว่า 2 เดือนที่ผ่านมา อาการผันผวนคือ ดัชนีสวิงปรับตัวขึ้นหรือลงในระดับเกินกว่า 1% บ่อยครั้ง ล่าสุดการซื้อขายตลาดหุ้นสหรัฐ ซึ่งถือว่าเป็นตลาดหุ้นที่มีมูลค่ามากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มีการปรับตัวลงในพฤหัสฯ 6.90% ซึ่งเราไม่เห็นลักษณะการปิดลงแรงเช่นนี้มานานนับจากเดือนมีนาคมปีนี้ หรือคือช่วงเริ่มต้นการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในต่างประเทศทั่วโลกนอกเหนือจากพื้นที่ประเทศจีนนั่นเอง
ตลาดหุ้นผันผวนมากผิดปกติย่อมมีปัจจัยสำคัญที่กระทบต่อจิตวิทยา ความคิดของนักลงทุน การปรับตัวลงแรงครั้งนี้เริ่มจากประธานธนาคารสหรัฐเริ่มให้ภาพเศรษฐกิจสหรัฐต้องใช้เวลานานมากขึ้นในการฟื้นฟู ตลาดหุ้นสหรัฐเริ่มโดนเทขายทำกำไร นอกเหนือจากการประท้วงเรื่องการเหยียดสีผิวกระจายไปทั่วประเทศท่ามกลางการระบาดของโรคไวรัสโควิด-19
ขณะที่รัฐบาลท้องถิ่นหลายมลรัฐเริ่มผ่อนคลายมาตรการปิดเมือง ปิดธุรกิจให้ทยอยกลับมาเปิดได้ แม้ว่าบางมลรัฐจะยังมีอัตราการเพิ่มของผู้ติดเชื้อใหม่ไม่ลดลงก็ตาม ความขัดแย้งในเรื่องผลประโยชน์ระหว่างการสร้างคะแนนเสียงเพื่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในเดือนพฤศจิกายนปีนี้ กับความปลอดภัยของชีวิตประชาชนในประเทศ เริ่มส่งผลให้คะแนนเสียงของประธานาธิบดี โรนัล ทรัมพ์ นั้นตกต่ำลงอย่างต่อเนื่องจากการสำรวจของโพลหลายแห่ง
สำหรับมุมมองส่วนตัว การปรับตัวลงของตลาดหุ้นทั่วโลก และประเทศไทยก่อนงบตัวเลขกำไรไตรมาสสอง (คาดว่าแย่ลงอย่างแรง) จะประกาศออกมาถือว่าเป็นเรื่องสมเหตุสมผล อย่างไรก็ดี นักลงทุนควรติดตามตลาดหุ้นอย่างใกล้ชิด เพราะตลาดหุ้นรอบนี้จะไม่ควรปรับตัวลงยาวเช่นเดียวกับช่วงเดือนมกราคม-มีนาคมอีกแล้ว
ทั้งนี้แม้ว่าเรามีการระบาดรอบสองก็ตาม เหตุผลคือ ประชาชน และรัฐบาลมีการเรียนรู้จากบทเรียนเริ่มต้นของการระบาดของโรคร้ายนี้ รัฐบาลสามารถออกกฎระเบียบได้ชัดเจน และสังคมจะยอมรับปฏิบัติร่วมกัน รวมถึงบริษัทผลิตยาต่างเร่งค้นคว้าวัคซีนให้สำเร็จเร็วที่สุด โดยมีเม็ดเงินเค็กก้อนใหญ่ของความต้องการคนทั่วโลกรออยู่ ราคาน้ำมันดิบอาจยังคงผันผวนแต่สุดท้ายน่าจะเริ่มมีเสถียรภาพเมื่อการเดินทาง และการผลิตภาคอุตสาหกรรมทยอยเปิดสายการผลิตอีกครั้ง
ผมประเมินว่าตลาดหุ้นไทยจะไม่ปรับลงจนเกิดจุดต่ำสุดใหม่ (ระดับต่ำสุดเดิมคือ 969 จุด) ขณะเดียวกัน เมื่อดัชนีปรับตัวลงมาระดับ 1300 จุดจะเป็นระดับน่าสนใจลงทุนอีกครั้ง ซึ่งมูลค่าตลาดจากการประเมินด้วย implied PER จะอยู่ราว 15.20 เท่า