จับตาม"ซอฟท์โลน"พยุงปีกการบิน
“สุพัฒนพงษ์”หนุนเข้มปล่อยซอฟท์โลน หวั่นกู้ไปโปะหนี้เดิมมากกว่าลงทุน ส่งผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจระยะยาว แนะให้ใช้วิธีเจรจาพักหนี้หรือปรับโครงสร้างหนี้เป็นหลัก ส่วนซอฟท์โลนสายการบินในประเทศ 2.7 หมื่นล้าน ให้คลังพิจารณ
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงการปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำพิเศษ (ซอฟท์โลน) วงเงิน 2.4 หมื่นล้านบาทตามที่สายการบินในประเทศที่เป็นโลว์คอร์สแอร์ไลน์ได้เข้าพบนายกรัฐมนตรีและขอให้รัฐบาลช่วยจัดหาซอฟท์โลนเพื่อเสริมสภาพคล่องธุรกิจภายในเดือนต.ค.นั้นในส่วนของเรื่องนี้กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการพิจารณาอยู่แต่สุดท้ายในส่วนของหนี้ที่สายการบินเหล่านี้มีอยู่ก็ต้องเข้าสู่กระบวนการขอเจรจาพักหนี้กับเจ้าหนี้ที่มีอยู่ก่อน ไม่ควรนำซอฟท์โลนที่ได้ไปใช้จ่ายหนี้ให้กับเจ้าหนี้ที่ยังเจรจาไม่ได้
“กระทรวงการคลังกำลังพิจารณเรื่องนี้อยู่คาดว่าจะมีผลออกมาเร็วๆนี้ ซึ่งเรื่องนี้ไม่ต้องรอรัฐมนตรีคลังคนใหม่ แต่ก็ต้องดูว่าซอฟท์โลนที่จะหาให้ก็ต้องดูว่าที่สุดแล้วเขาจะเอาไปทำอะไร ไปซื้อเครื่องบินเพิ่มหรือเปล่า หรือเอาไปจ่ายหนี้ในส่วนที่เจ้าหนี้ของเขายังไม่ยอมเจรจาก็อาจจะเอาซอฟท์โลนส่วนนี้ไปจ่ายให้กับเจ้าหนี้ตามสัญญาเช่าหรือซื้อเครื่องบิน”
ในส่วนของซอฟท์โลน 5 แสนล้านบาทซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้มีการเตรียมวงเงินในการปล่อยกู้ให้กับสถาบันการเงินเพื่อไปปล่อยกู้ต่อให้กับลูกหนี้วงเงินขณะนี้มีคนมาขอกู้เงินแล้วประมาณ 1 แสนล้านบาทเท่านั้น
ทั้งนี้ ต้องตั้งคำถามก่อนว่าซอฟท์โลนที่จะกู้นั้นผู้ประกอบการจะเอาไปทำอะไร หากจะกู้เพื่อเอาไปใช้หนี้ที่มีอยู่เดิมนั้นเท่ากับไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรให้กับประเทศ หรือหากเป็นการกู้เงินซอฟท์โลนไปใช้หนี้ส่วนตัวแบบนี้ยิ่งอันตราย สิ่งที่รัฐบาลพยายามทำและที่ธปท.ทำก็คือก่อนหน้านี้มีการประกาศพักชำระหนี้ให้อยู่แล้วซึ่งเรื่องนี้ช่วยให้ผู้ประกอบการผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากมาได้จึงไม่ได้เป็นการกู้เอาซอฟท์โลนไปใช้หนี้เพราะมีมาตรการพักหนี้ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้ช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการจากการพักหนี้ทั้งนี้เมื่อสิ้นสุดมาตรการพักหนี้ก็ถึงขั้นตอนที่ลูกหนี้แต่ละรายต้องเจรจาขอพักชำระหนี้เพิ่มเติมหรือขอปรับโครงสร้างหนี้ในรายที่ยังไม่สามารถกลับมาชำระหนี้ได้ตามปกติ
แนะใช้ซอฟท์โลนเพื่อลงทุน
“คนที่ได้รับซอฟท์โลนไปในส่วนนี้ก็คือคนที่มีกิจการ โรงงานที่ก่อสร้าง และจะขยายต้องการที่จะลงทุนต่อในช่วงที่กิจการมีปัญหาชั่วคราว หมุนเงินไม่พอก็มาขอกู้ตรงนี้โดยธนาคารที่ให้กู้เขาก็ขอหลักประกันเพิ่มก็เป็นการดำเนินการตามปกติของการขอซอฟท์โลนได้ ทุกวันนี้ส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์ที่ไปได้ก็อาจจะไปสู่การปรับไปสู่การปรับโครงสร้างหนี้ตรงนี้สถาบันการเงินดูเป็นรายๆไป”
รายงานข่าวแจ้งว่าก่อนหน้านี้ สายการบินต่างๆได้ทำหนังสือถึงกระทรวงการคลังอีกครั้งเพื่อขอให้เร่งรัดการพิจารณาโดยเร็วที่สุด พร้อมปรับขอวงเงินซอฟท์โลนเพิ่มเป็น 2.4 หมื่นล้านบาทแก่ผู้ประกอบการสายการบิน 8 รายได้แก่ ไทยแอร์เอเชีย ไทยแอร์เอเชียเอ็กซ์ ไทยไลอ้อนแอร์ บางกอกแอร์เวย์ส ไทยสมายล์ ไทยเวียตเจ็ท นกแอร์ และนกสกู๊ตที่ตัดสินใจขอยื่นวงเงินกู้เพิ่มเติมโดยขอผ่อนชำระที่อัตราดอกเบี้ย 2% เป็นระยะเวลา 60 เดือนหรือ 5 ปี เริ่มชำระงวดแรกเดือน ม.ค.2564 เป็นต้นไป
สำหรับสถานการณ์ล่าสุดของธุรกิจสายการบินในไทยส่วนใหญ่ ณ ช่วง เม.ย.ที่ผ่านมาอยู่ในภาวะย้ำแย่ โดยเฉพาะเรื่องสภาพคล่องที่ไม่ค่อยแข็งแรงโดยทางกระทรวงการคลังก็ได้ขอข้อมูลเพิ่มเติมซึ่งนับเป็นสัญญาณว่าอยู่ระหว่างการพิจารณามาตรการช่วยเหลือทางการเงินนี้แก่ทั้ง 8 สายการบิน
ขณะที่การดำเนินการของสายการบินต่างๆทั้ง 8 สายการบินจะเน้นเรื่องดูแลพนักงานเป็นหลัก เพราะรัฐบาลไดัย้ำมาอย่างต่อเนื่องว่าไม่อยากให้มีคนตกงานเพิ่มดังนั้นสายการบินจึงต้องพยายามประคองการจ้างงานมาโดยตลอดซึ่งปัจจุบันมีลูกจ้างในธุรกิจการค้าทั้ง 8 สายการบินรวมกันเกือบ 5 หมื่นคนท่ามกลางภาวะที่ธุรกิจไม่มีรายได้เลย นับเป็นความท้าทายทั้งต่อภาคธุรกิจเองและภาครัฐบาลที่ต้องพิจารณาเรื่องซอฟท์โลนนี้อย่างรอบคอบ เบื้องต้นเริ่มมีข่าวบางสายการบินจำเป็นต้องเลิกจ้างพนักงานบางส่วนแล้ว
เบนเข็มสู่ท่องเที่ยวไฮเอน
นายสุพัฒนพงษ์ยังกล่าวถึง การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวในประเทศไทยว่ากว่าที่ประเทศไทยจะสามารถฟื้นตัวกลับมามีนักท่องเที่ยวจำนวนมากได้เหมือนในช่วงที่ยังไม่มีโควิด-19ซึ่งคาดว่าอาจจะต้องเป็นไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 เป็นต้นไป
อย่างไรก็ตามโจทย์ของรัฐบาลคือต้องการให้นักท่องเที่ยวที่เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมีการใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น จากเดิมที่มีการใช้จ่ายประมาณ 50,000 บาทต่อคนในการเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มเป็นเฉลี่ย 300,000 - 500,000 บาทต่อรายหรือหากทำให้เพิ่มเป็นเฉลี่ย 1 ล้านบาทต่อรายไปเลยก็จะดีมาก ซึ่งหากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นไปถึงระดับดังกล่าวก็จะทำให้เราไม่ต้องรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศในปริมาณมากเหมือนที่ผ่านมา