ดีลอยท์แนะธุรกิจฝ่า 4 โจทย์สู่ 'Next Normal' รับเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว
ดีลอยท์ ประเทศไทย มองภาพรวมเศรษฐกิจไทยปีหน้าอยู่ในขั้นฟื้นตัว แต่เป็นไปอย่างช้าๆ และยอมรับว่ายังไม่สามารถคาดการณ์ได้อย่างชัดเจน
เพราะนอกจากวิกฤติโควิด-19ที่ยังคงระบาดต่อเนื่อง ประเทศไทยก็ต้องเผชิญกับปัญหาทั้งภายในและภายนอก เช่น เกิดความไม่สงบทางการเมือง การหยุดชะงักของธุรกิจท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ตลอดจนปัญหาความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน อีกทั้งการผ่อนปรนของมาตรการปิดประเทศส่งผลให้อุปสงค์ทั่วโลกยังอยู่ในแนวโน้มขาลง ฯลฯ ซึ่งล้วนเป็นเหตุผลที่ทำให้คาดการได้ยาก เรียกว่าองค์กรทุกภาคส่วนยังคงต้องอดทนไปอีก 12-18 เดือนนับจากนี้
สุภศักดิ์ กฤษณามระ กรรมการผู้จัดการ ดีลอยท์ ประเทศไทย กล่าวว่า เวลานี้สถานการณ์การระบาดของโควิด-19ทั่วโลกยังไม่คลี่คลายอย่างชัดเจนไปในทางบวก การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจตั้งอยู่บนความไม่แน่นอนของปัจจัยหลายอย่าง อีกทั้งยังมีการฟื้นตัวในแต่ละอุตสาหกรรมที่ไม่เท่ากัน และยังเป็นไปอย่างช้า ๆ แต่การเตรียมความพร้อมเพื่อที่จะกลับสู่ภาวะปกติในอนาคต ยังจำเป็นอย่างมากสำหรับทั้งภาครัฐและเอกชน ดังนั้นผู้นำองค์กรต่าง ๆ ก็ต้องหาคำตอบให้ได้ว่าจะต้องคำนึงถึงเรื่องใดและทำอย่างไร
สำหรับโจทย์สำคัญของภาคธุรกิจเพื่อก้าวไปสู่ Next Normal นั้นดีลอยท์มองว่ามีอยู่ 4 มิติหลักๆ ที่ต้องนำมาพิจารณา ได้แก่ 1.มิติด้านสังคม โลกยุคใหม่จะให้ความสำคัญกับคำว่า Trust หรือการสร้างความเชื่อมั่นมากถึงมากที่สุด ,คำนึงเรื่องการอนุญาตให้ใช้สิทธิทางสังคม (Social license) รวมถึงปรับปรุงหลักประกันด้านสุขภาพและความปลอดภัย และต้องมุ่งสร้างความสมดุล ไม่เพียงแค่ตัวเลขผลกำไรภาคธุรกิจต้องให้ความสำคัญกับสังคมและสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
2.มิติด้านธุรกิจ ต้องให้ความสำคัญกับ Digital Transformation ปรับสู่การเป็นองค์กรดิจิทัล และปรับหรือมองหารูปแบบธุรกิจใหม่ ๆ ที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและความต้องการผู้บริโภคที่ซับซ้อนมากขึ้น
3.มิติด้านเศรษฐกิจ มองถึงผลกระทบจากการทำสัญญาและเครดิต, ความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทาน และการเปลี่ยนแปลงรูปแบบธุรกิจในบางอุตสาหกรรม นอกจากนี้โควิด- 19ได้นำไปสู่สังคมที่เว้นระยะห่างหรือ Contactless society ซึ่งจะเป็นโอกาสทำให้เกิดมีธุรกิจรูปแบบใหม่ๆ กลยุทธ์ใหม่ๆ
4.มิติด้านการเมือง เห็นได้ชัดว่าโควิด-19 ทำให้เกิดแนวคิดความเป็นชาตินิยมมากขึ้น แต่ละประเทศหันกลับมาพึ่งพาตัวเองโดยจะไม่ยึดแนวคิดโลกาภิวัตน์เหมือนเช่นเคย อีกทั้งเศรษฐกิจของประเทศฝั่งเอเชียจะฟื้นตัวได้เร็ว, นอกจากนั้นดีลอยท์มองว่าภาครัฐฯจะต้องมีบทบาทที่ใหญ่ขึ้นทั้งในฐานะหัวหอกการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยมาตรการการคลังอันจะตามมาด้วยมาตรการภาษีที่อาจสูงขึ้น
เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต ดีลอยท์ให้คำแนะนำว่าองค์กรควรให้ความสำคัญใน 6 ด้าน เพื่อเตรียมความพร้อมและสามารถตอบโจทย์ความท้าทายได้สำเร็จ ประกอบด้วย
1.การกอบกู้ และการเพิ่มของรายได้ (Recover & Grow Revenue) เช่น ทบทวนรูปแบบและข้อเสนอทางธุรกิจปัจจุบัน, ประเมินกลยุทธ์การกำหนดราคาใหม่, แสวงหาแหล่งความต้องการใหม่ ๆ รวมทั้งโอกาสในการสร้างสรรค์นวัตกรรมผ่านการทำงานร่วมกันข้ามอุตสาหกรรม
2.การเพิ่มมาร์จิ้น และความสามารถในการทำกำไร (Increase Margins & Profitability) เช่น ใช้เวลาให้มากขึ้นกับส่วนที่เพิ่มรายได้, เพิ่มความรอบคอบส่วนของค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหาร (SG&A), มองหารูปแบบและทางเลือกเพื่อลดความเสี่ยง, เน้นความมั่นคงของซัพพลายเออร์และซัพพลายเชน
3.การเพิ่มประสิทธิภาพสินทรัพย์และหนี้สินรวมถึงสภาพคล่อง (OPTIMISE ASSETS, LIABILITIES,& LIQUIDITY) โดยการเพิ่มประสิทธิภาพเงินทุนหมุนเวียนเพื่อสร้างเสถียรภาพให้กับสภาพคล่อง, ใช้ประโยชน์สูงสุดจากมาตรการกระตุ้นและเครดิตภาษีของรัฐบาล, ตรวจสอบการแบ่งปันสินทรัพย์และการจัดเตรียมการ เช่าซื้อ, ทบทวนผลงาน/สินค้าค้างส่งมอบ และสัญญาต่าง ๆ อีกครั้ง
4.เร่งทำเรื่อง Digital Transformation (Accelerate Digital Transformation) เช่น จัดลำดับความสำคัญของช่องทางข้อมูลดิจิตอล, การเปลี่ยนไปใช้ระบบคลาวด์เพื่อความคล่องตัว และความยืดหยุ่น, ให้ความสำคัญกับเรื่องความมั่นคงปลอดภัยบนไซเบอร์ (Cyber Security), เพิ่มความคล่องตัวในการทำงานของสำนักงานส่วนกลางและส่วนหน้าด้วยระบบ
Office Automation
5.ให้การสนับสนุนพนักงานและโครงสร้างการดำเนินงาน (Support Workforce & Operating Structure) เช่น ทำให้พนักงานรู้สึกมั่นใจและปลอดภัย, ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของพนักงาน, สร้างช่องทางการประเมินความรู้สึก รวมถึงสุขภาพร่างกายและจิตใจของพนักงาน, มองหารูปแบบการจ้างงานทางเลือก (เช่น การจ้างแบบชั่วคราว), มองหาหรือคิดรูปแบบการทำงานและการส่งมอบงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
6.บริหารจัดการความคาดหวังผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Manage Stakeholder Expectations) เช่น พัฒนารูปแบบการบริหารจัดการการสื่อสารในภาวะวิกฤต, สื่อสารนโยบายเกี่ยวกับสุขภาพและความปลอดภัยให้พนักงานและลูกค้าได้รับทราบ, เข้าไปมีส่วนร่ามกับโครงการของภาครัฐ และชุมชนในพื้นที่, ให้ความสำคัญกับโครงการหรือความคิดริเริ่มเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจอย่างสมดุลทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและบรรษัทภิบาล (ESG)
ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา ดีลอยท์ ประเทศไทย ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของดีลอยท์เอเชียแปซิฟิค ได้มีการปรับตัวภายในเพื่อรับมือกับสถานการณ์โควิด-19 นอกเหนือจากการจัดเตรียมระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อรองรับกับมาตรการรักษาระยะห่างของพนักงานแล้ว บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาองค์ความรู้เพื่อเตรียมความพร้อมให้ผู้บริหารระดับสูงและทีมงาน ในการวิเคราะห์ปัญหาผลกระทบลูกค้าในแต่ละอุตสาหกรรม และแนวทางการให้บริการที่สอดรับกับความต้องการ รวมทั้งการจัดทำบทความและรายงานตลอดจนสัมมนาออนไลน์ให้กับลูกค้าแต่ละกลุ่ม โดยบริษัทฯ ยังคงสามารถรักษาการเติบโตของผลการดำเนินงานรอบปี 2563 ในระดับที่ดี (สิ้นสุด ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2563) มีอัตราเติบโตของรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.7 ซึ่งเป็นการเติบโตในทุกสายธุรกิจ คือ ธุรกิจตรวจสอบบัญชี เพิ่มขึ้นร้อยละ 7, ธุรกิจที่ปรึกษาเพิ่มขึ้นร้อยละ 20, ธุรกิจที่ปรึกษาด้านการเงิน เพิ่มขึ้นร้อยละ 12, ธุรกิจที่ปรึกษาด้านการบริหารความเสี่ยง เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 และธุรกิจที่ปรึกษาด้านภาษีและกฎหมาย เพิ่มขึ้นร้อยละ 9
สุภศักดิ์ กล่าวว่าพนักงานในแต่ละสายธุรกิจที่ร่วมมือร่วมใจกันทำงาน ถือเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ดีลอยท์ ประเทศไทยยังคงสามารถเติบโตได้ในภาวะวิกฤติและภายใต้โจทย์ที่ยากขึ้น เช่น องค์กรลูกค้าต้องการราคาบริการที่ลดลงทั้งยังต้องการเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนในเวลาที่เร็วขึ้น รวมทั้งยังมีคู่แข่งหน้าใหม่เข้ามาในตลาดเพิ่มมากขึ้น เป็นต้น
ดีลอยท์ ประเทศไทยยังได้วางกลยุทธ์ในอีก 3 ปีข้างหน้า เพื่อให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ด้วยการบริการแบบครบวงจรของแต่ละสายธุรกิจและศักยภาพในการให้บริการแบบเครือข่ายทั่วโลก โดยมองว่าอุตสาหกรรมที่พร้อมจะกลับมาเติบโตได้ก่อน 4 กลุ่มแรก คือ กลุ่มยานยนต์ กลุ่มสถาบันการเงิน กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มพลังงาน ซึ่งยังคงต้องการบริการที่ปรึกษาเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการบริการด้านการบริหารกระแสเงินสด (Cash Optimization Advisory) เพื่อรักษาสภาพคล่องของกิจการ และการควบรวมกิจการ (M&A) โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าประมาณการรายได้รวมสำหรับปี 2564 เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 8 ทั้งนี้ สิ่งสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรไปสู่เป้าหมาย คือ การรักษาคนเก่งในองค์กร โดยบริษัทฯยังคงให้ความสำคัญกับการคัดสรร การพัฒนา และการดูแลบุคลากรที่มีศักยภาพสูง ซึ่งเป็นหัวใจหลักในการผลักดันและขยายธุรกิจต่างๆ