แต่ผมเองกลับคิดว่า หุ้นที่น่าสนใจลงทุนโดยเฉพาะระยะยาวอย่างผมก็คือหุ้นที่มีราคาตกลงมามาก ไม่ใช่หุ้นที่มีราคาขึ้นไปมาก ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าผมเป็น “VI พันธุ์แท้” ที่มักจะ “อนุรักษนิยม” คือเน้นที่ ความปลอดภัยหรือ “Margin of Safety” ในการลงทุนค่อนข้างมาก ในขณะที่ปัจจัยเรื่องของการเติบโตหรือ Growth เป็นเรื่องรอง ดังนั้น หุ้นที่มีราคาแพงวัดจากค่ามาตรฐานต่างๆ เช่น ค่า PE อัตราการจ่ายปันผลและมูลค่าหุ้นหรือ Market Cap. ของหุ้นจะเป็นหุ้นที่ผมหลีกเลี่ยง พูดง่ายๆ ผมชอบหุ้นที่ “ถูกสุดๆ” มากกว่าหุ้นที่อาจจะโตแต่หุ้นแพงสุดๆ และนี่ก็นำไปสู่ความคิดเห็นของผมต่อหุ้นขนาดใหญ่ในช่วงเวลานี้ที่มีราคาลดลงมากและอาจจะเป็นโอกาสในการลงทุน
เงื่อนไขของการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ของผมก็คือ ข้อแรก กิจการจะต้องไม่ถูก Disrupt โดยเทคโนโลยีถึงขนาดที่จะ “ล่มสลาย” ในระยะอย่างน้อย 10 ปีข้างหน้า ข้อสอง ขนาดของธุรกิจหรือรายได้และกำไรของกิจการอย่างน้อยจะต้องประมาณเท่ากับช่วงก่อนโควิด-19 (ปี 2562) ภายในระยะเวลา 3-4 ปีข้างหน้า คือภายในปี 2566 ข้อสาม ความ “แข็งแกร่ง” มองในแง่ของความสามารถในการแข่งขันและการรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทในอุตสาหกรรมจะต้องไม่ลดลง และสุดท้ายก็คือ ราคาหุ้นในปัจจุบัน จะต้องต่ำมากเทียบกับราคาหุ้นช่วงก่อนโควิดหรือราคาปิดของหุ้นเมื่อสิ้นปี 2562 และต้องต่ำกว่าไม่น้อยกว่า 15%
ถ้าหุ้นเข้าข่ายเกณฑ์ขั้นต่ำทุกข้อดังกล่าว เราก็น่าจะได้รับผลตอบแทนอย่างต่ำปีละประมาณ 7-8% ในช่วงเวลา 3-4 ปีข้างหน้า ซึ่งก็จะเป็นผลตอบแทนจากราคาหุ้นที่น่าจะขึ้นไปเฉลี่ยปีละ 5% บวกกับปันผลอีกปีละ 2-3% ซึ่งในความคิดของผมก็คือ เป็นการลงทุนที่ดีพอสำหรับตลาดหุ้นไทยและดีกว่าการลงทุนในพันธบัตรและการฝากเงินมาก และนี่ก็เป็นผลตอบแทน “ขั้นต่ำ” ที่เราน่าจะได้ แต่ถ้าเราเลือกหุ้นที่มีเงื่อนไขดีกว่านั้น เช่น บริษัทกลับมามีผลประกอบการเท่าเดิมได้ภายใน 2 ปี คือภายในปี 2565 และ/หรือราคาหุ้นตกลงมาเกิน 15% หลังโควิดมาก ผลตอบแทนจากการลงทุนก็จะสูงขึ้น แต่ทั้งหมดนี้ก็ยังตั้งอยู่ในสมมุติฐานที่ว่าภายใน 3-4 ปีข้างหน้า ประเทศไทยและโลกจะผ่านวิกฤตการณ์และสถานการณ์ของโควิดและเรื่องของการเมืองของไทยไปแล้ว ซึ่งโดยส่วนตัวผมคิดว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น
ลองมาดูว่าหุ้นขนาดใหญ่แต่ละกลุ่มจะเข้าเงื่อนไขที่ผมกล่าวได้มากน้อยแค่ไหน เริ่มจากกลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ ซึ่งจุดเด่นที่สุดก็คือ การที่ราคาหุ้นของกลุ่มนี้ลดลงมากที่สุดและน่าจะลดลงไปถึง 40-50% เทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 ดังนั้น ถ้าเงื่อนไขอื่นผ่านก็จะทำให้การลงทุนให้ผลตอบแทนที่ดีมากถึงกว่า 10% หรืออาจจะถึง 15% ต่อปีในเวลา 3-4 ปีได้ ซึ่งในความเห็นของผมแล้ว แบงก์ขนาดใหญ่ของไทยน่าจะยังสามารถรักษาธุรกิจหลายอย่างเช่น การบริหารเงินและการปล่อยสินเชื่อไว้ ไม่ถูก Disrupt ได้ ส่วนในด้านของผลประกอบการเองนั้น ผมคิดว่าปัญหาหนี้เสียซึ่งเป็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุดนั้น น่าจะสามารถประคองตัวให้ผ่านพ้นไปได้ อานิสงส์จากการที่สภาพคล่องการเงินในระบบล้น ดอกเบี้ยต่ำ และการที่แบงก์มีสำรองสำหรับหนี้เสียค่อนข้างมาก ประกอบกับการที่ทางการอนุญาตให้ผ่อนปรนการรับรู้ได้ ก็จะช่วยให้แบงก์สามารถฝ่าวิกฤติไปได้และภายใน 3 ปีหรืออาจจะต้องเป็น 4 ปีก็น่าจะกลับมาทำกำไรได้เหมือนเดิมโดยที่แทบทุกแห่งก็สามารถรักษาสถานะและความเข้มแข็งของตนเองได้
หุ้นกลุ่มสื่อสารหลักๆ น่าจะตกลงมาประมาณ 20-40% ดังนั้น ก็เข้าข่ายการลงทุนในเบื้องต้น และเมื่อมองจากลักษณะของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของดิจิทัลแล้ว ผมเองก็คิดว่าไม่น่าจะถูก Disrupt ในด้านของผลประกอบการผมก็คิดว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะสามารถฟื้นตัวกลับมาเท่าเดิมได้ในเวลา 3 ปี ซึ่งน่าจะทำให้ผลประกอบการของบริษัทกลับมาเท่าเดิมได้ในเวลา 3-4 ปีเช่นเดียวกัน ส่วนความแข็งแกร่งของบริษัทแต่ละแห่งนั้น ก็ต้องระวังว่าบางบริษัทอาจจะด้อยลงได้อานิสงส์จากการไม่ได้ลงทุนเพิ่มเพราะฐานะการเงินอาจจะไม่ดีนัก ดังนั้น ก็คงต้องดูหากจะลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ซึ่งจะต้องมองถึงราคาที่ลดลงมาด้วยเพราะมีความแตกต่างกันระหว่างบริษัท
กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับปิโตรเคมีและพลังงานที่มาจากปิโตรเคมีที่เป็นบริษัทขนาดใหญ่นั้น หุ้นก็น่าจะตกลงมาระดับ 30-40% อย่างไรก็ตาม หุ้นในกลุ่มนี้เป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่การคาดการณ์ผลประกอบการเป็นไปได้ยาก เพราะแม้ว่ารายได้น่าจะกลับมาเท่าเดิมได้ในเวลา 3-4 ปี กำไรก็ไม่มีความแน่นอน ดังนั้น ผมเองจึงไม่แนะนำให้ซื้อแม้ว่ากำไรอาจจะดีขึ้นมากก็ได้ถ้าภาวะเศรษฐกิจโลกดีขึ้นและราคาของสินค้าของบริษัทปรับตัวกลับมาเท่าเดิมหรือดีขึ้น คนที่จะเล่นหุ้นกลุ่มนี้ก็ควรเป็นคนที่กล้ารับความเสี่ยงสูงกว่าปกติ
หุ้นค้าปลีกขนาดใหญ่น่าจะลดลงซัก 20-30% จากช่วงก่อนโควิด-19 ซึ่งอาจจะดูว่าไม่ได้มากนักและอาจจะคล้ายๆ หุ้นสื่อสารที่ถูกกระทบทางอ้อมจากการที่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างหนัก และก็เช่นเดียวกับสื่อสาร ภายในเวลาไม่เกิน 3 ปี เศรษฐกิจน่าจะฟื้นตัวและทำให้ผลประกอบการของบริษัทกลับมาเท่าเดิมก่อนโควิด ในส่วนของความสามารถในการแข่งขันหรือความแข็งแกร่งของบริษัทก็น่าจะเหมือนเดิม ดังนั้น การลงทุนในหุ้นของค้าปลีกก็น่าจะให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกัน คือปีละน่าจะไม่ต่ำกว่า 10% โดยเฉลี่ยใน 3-4 ปีข้างหน้า โดยเป็นการเติบโตของราคาหุ้น 7-8% และปันผล 2-3% ต่อปี