“สุพัฒนพงษ์”เดินหน้าปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ชี้เห็นการลงทุนเอกชนจริงปี 65
“สุพัฒนพงษ์” ชี้เศรษฐกิจไทยผ่านจุดต่ำสุดแล้ว หวังเอกชนเชื่อมั่นเร่งลงทุน ช่วยปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ลดพึ่งพาท่องเที่ยว ระบุประชาชนจะเริ่มรู้สึกว่าเศรษฐกิจดีช่วงไตรมาส2 ปี 64 ชี้ปี65 การลงทุนเกิดขึ้นจริง
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจปี 2564” ว่า ขณะนี้ประเทศไทยได้ผ่านจุดที่ต่ำที่สุดไปแล้ว และกำลังดีต่อเนื่อง โดยในปีหน้า จะเห็นผลที่ชัดเจนมากขึ้น สิ่งเหล่านี้มาจากการที่ทุกคนร่วมมือกัน และมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศไทยผ่านมาตรการต่างๆที่ออกมา ทำให้เชื่อว่า ในช่วงกลางปี 64 ประมาณไตรมาสที่ 2 ประชาชนจะรู้สึกและสัมผัสได้ถึงการฟื้นตัวของประเทศไทยอย่างจริงจัง
“ตอนเกิดโควิดใหม่ๆ ช่วงนั้นเดาไปข้างหน้ายากที่สุด รัฐบาลพยายามทุ่มเทผ่านค่าใช้จ่ายมหาศาล โดยเฉพาะการเยียวยาผู้ที่เดือดร้อนทั้งทางตรงและทางอ้อมเป็นเงินถึง 8 แสนล้านบาท จนแลกกับความรู้สึกกับความรู้สึกดีๆ กับที่ทุกคนรู้สึกเมื่อเทียบกับหลายๆ ประเทศ ซึ่งในปัจจุบันยังแก้ปัญหาเหล่านี้ไม่ตก แต่ประเทศไทยผ่านตรงนี้มาแล้ว และผ่อนคลายตามลำดับจนเรามีชีวิตแบบที่ไม่ต้องมีระยะห่าง เรียกได้ว่าเรามีความสุขเกือบจะเติมเต็มที่เคยมีอยู่ เพียงแต่ยังมีอุตสาหกรรมที่เดือดร้อนและได้รับผลกระทบอยู่บ้าง เช่นการท่องเที่ยว และส่งออก”
นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า ประเทศไทยมาถึงจุดนี้ มีเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวดี เสถียรภาพการเงินการคลังก็ดี การปรับอันดับความน่าเชื่อถือทั้งในปัจจุบัน และมองไปข้างหน้าก็เริ่มดี อย่างเช่น ไอเอ็มเอฟ ออกรายงานล่าสุด ได้ปรับการพยากรณ์เศรษฐกิจของไทยดีขึ้นเป็นประเทศเดียว ส่วนตัวเลขจีดีพีในไตรมาสที่ 3 สภาพัฒน์ฯ จะมีการประกาศออกมาในวันที่ 16 พ.ย.นี้ ซึ่งเชื่อว่า เป็นไปตามทิศทางที่ดี และดีกว่าหลายๆ ประเทศในอาเซียน แม้ว่าที่ผ่านมาเคยมีนักเศรษฐศาสตร์บอกว่าเศรษฐกิจของไทยจะเติบโตน้อยสุดในอาเซียน แต่วันนี้ไม่ใช่ จึงอยากให้สิ้นปีนี้มาลองดูตัวเลขกันอีกที
ทั้งนี้การแก้ไขปัญหาอย่างถูกจุดที่ประเทศไทยทำได้ดีมาตลอด ปีหน้าจึงมีความหวัง และมีโอกาสมากกว่านี้ โดยรัฐบาลได้เตรียมความพร้อมของโครงการต่างๆ ไว้รองรับ และยืนยันว่าโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานใหญ่ จะเริ่มก่อสร้างในปีหน้าเป็นต้นไป ซึ่งปีหน้าจะเป็นปีแห่งการเตรียมความพร้อมเชิญชวนนักลงทุนทั่วโลก เข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อทำให้เกิดการลงทุนจริงต่อไปในปี 65 เปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจที่พึ่งพาการส่งออก และท่องเที่ยวอย่างเดียว
“รัฐบาลได้เตรียมพร้อมมากที่สุดเท่าที่พร้อมได้ สิ่งที่เราต้องการจะทำเราดึงดูดอุตสาหกรรมใหม่ๆ ให้มาลงทุนอย่างจริงจัง และจะตั้งทีมปฏิบัติการเชิงรุก ดึงดูดนักลงทุนเข้ามาในไทย รวมทั้งให้เอกชนช่วยกันดึงดูด เชื่อว่าไตรมาส2 ปีหน้า น่าจะมีผู้ลงทุนขนาดใหญ่เข้ามาแน่ เพราะตอนนี้สัมผัสได้ชัดเจนว่า ไทยมีโอกาสที่จะเป็น 1 ใน 10 ประเทศที่น่าลงทุน จึงอยากได้รับความร่วมมือของทุกคน เพราะตอนนี้นับเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่เรามีโอกาส เพื่อให้ทุกคนจดจำว่าเราเจอความยากลำบากมา และได้ร่วมกันทำให้ประเทศไทยแข็งแรง สุดท้ายแล้วเราจะจำสิ่งนี้ไม่ลืม”นายสุพัฒนพงษ์กล่าว