อ.ส.ค.แกร่งท้าชนวิกฤติโควิด-19 คว้ารางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น 6 ปีซ้อน
“อ.ส.ค.” คว้ารางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น 6 ปีซ้อน “พัฒนาองค์กรดีเด่น” “รางวัลผู้นำองค์กรดีเด่น” พร้อมประกาศเดินหน้า ก้าวสู่ “องค์กรที่เป็นศูนย์กลางการบริหารอุตสาหกรรมโคนมของประเทศและผู้นำอุตสาหกรรมนมระดับอาเซียนในทุกมิติ
นายสุชาติ จริยาเลิศศักดิ์ รองผู้อำนวยการ ทำการแทนผู้อำนวยการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) กล่าวว่า อ.ส.ค. ได้เร่งขับเคลื่อนองค์กรและมุ่งมั่นบริหารและพัฒนาทรัพยากรบุคคลก้าวสู่ยุคใหม่ ทันสมัยและความโปร่งใสตามหลักธรรมาภิบาลอย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาระบบทรัพยากรบุคคลให้ได้มาตรฐานและมีขีดสมรรถนะสูงพร้อมเข้าสู่ยุค 4.0ภายใต้ยุทธศาสตร์อ.ส.ค.ระยะ 20ปี เตรียมพร้อมก้าวสู่การเป็น “องค์กรที่เป็นศูนย์กลางการบริหารอุตสาหกรรมโคนมของประเทศ” และผู้นำอุตสาหกรรมนมระดับอาเซียน
ส่งผลให้ อ.ส.ค. สามารถคว้ารางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น (SOE Award) ประจำปี 2563 ภายใต้แนวคิด “รัฐวิสาหกิจร่วมใจ ไทยปลอดภัยเข้มแข็ง : STAY SAFE AND STORNG TOGETHER” ซึ่งจัดโดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) กระทรวงการคลังในปีนี้ได้ถึง 2 รางวัล คือ รางวัลการพัฒนาองค์กรดีเด่น รับมอบโดย นายศักดิ์ชัย ศรีบุญซื่อ ประธานคณะกรรมการ อ.ส.ค. และรางวัลผู้นำองค์กรดีเด่น รับมอบโดย ดร.ณรงค์ฤทธิ์ วงศ์สุวรรณ อดีตผู้อำนวยการ อ.ส.ค. โดยมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีมอบครั้งนี้ ในวันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน 2563 ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล
ทั้งนี้รางวัลการพัฒนาองค์กรดีเด่น และรางวัลผู้นำองค์กรดีเด่น ถือเป็น 2 รางวัลแห่งประวัติศาสตร์แห่งความภาคภูมิใจของ อ.ส.ค. ที่เกิดจากความมุ่งมั่นพยายามของ อ.ส.ค. และพนักงานทุกคนในการพัฒนาองค์กรและตัวเองจนได้รับการยอมรับและเชื่อมั่น สำหรับ “รางวัลพัฒนาองค์กรดีเด่น” คณะกรรมการได้พิจารณาจากแนวโน้มของความยั่งยืนในการพัฒนาองค์กรในด้านต่างๆ อาทิ แนวทางการบริหารองค์กรรูปแบบใหม่ การพัฒนา Productivity Ratio หรือประสิทธิภาพการผลิตและการเพิ่มผลผลิต และการนำThailand 4.0 มาใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการองค์กรได้อย่างสอดคล้องและเหมาะสม เป็นต้น ส่วนรางวัล “ผู้นำองค์กรดีเด่น” คณะกรรมการพิจารณาจากผลประกอบการตามภารกิจ และผลประกอบการทางการเงิน และการดำเนินงานภายใต้กลยุทธ์ที่ทำให้ประสบความสำเร็จหรือที่ทำให้สามารถพัฒนาองค์กรได้ รวมทั้งการให้ความสำคัญและการดำเนินการด้าน CG, CSR ของผู้นำเพื่อพัฒนาองค์กรให้ยั่งยืน เป็นต้น
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา อ.ส.ค. ได้รับรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่นประเภทรางวัลพัฒนาองค์กรดีเด่น ด้านการบริหารจัดการสารสนเทศ 2 ปีซ้อนมาแล้ว คือในปี 2558 และปี 2559 และจากการเดินหน้าพัฒนาองค์กรมาอย่างต่อเนื่องทำให้ปีที่ 2560 ได้รับรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่นด้านพัฒนาองค์กรดีเด่นในภาพรวม และปี2561 ได้รับ 2 รางวัลคือรางวัลพัฒนาองค์กรดีเด่น ด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล และรางวัลความร่วมมือเพื่อการพัฒนาดีเด่น ด้านการยกระดับการบริหารจัดการ ซึ่งเป็นความร่วมมือในโครงการพี่เลี้ยงระหว่างธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) และ อ.ส.ค. ส่วนปี 2562 คว้ารางวัล ประเภท พัฒนาองค์กรดีเด่นด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล
นายสุชาติ กล่าวต่อว่า 2รางวัล ประจำปี 2563 ที่ทาง อ.ส.ค. ได้รับ ดังกล่าวถือเป็นความภาคภูมิใจของพนักงาน อ.ส.ค. เป็นอย่างมากและถือเป็นขวัญกำลังใจสำคัญในการที่ อ.ส.ค. จะเดินหน้าขับเคลื่อนพัฒนาองค์กรให้แข่งแกร่งทางด้านธุรกิจ ควบคู่กับการพัฒนาและส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงโคนมการพัฒนาอุตสาหกรรมนมไทยให้เป็นที่ยอมรับและเป็นอาชีพที่มั่นคงและยั่งยืนคู่สังคมไทย โดยเฉพาะการทำหน้าที่ในการส่งเสริมและสืบสานสืบสานโคนมอาชีพพระราชปณิธานให้คงอยู่กับคนไทยตลอดกาล รวมทั้งสร้างแบรนด์นมไทย-เดนมาร์คให้เป็นที่ยอมรับและครองใจผู้บริโภคอย่างยั่งยืน ควบคู่กับการบริหารจัดการองค์กรให้เป็นองค์กรที่มีขีดสมรรถนะสูง (HPO) ด้วยหลักธรรมาภิบาลตลอดไป
“จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกในปี 2563 ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมทุกประเภทรวมทั้งอุตสาหกรรมนมอย่างมาก แต่อ.ส.ค. ก็สามารถฝ่าวิกฤตินำพาองค์กรและผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์ครอดพ้นมาได้ โดยการปรับแผนส่งเสริมการขายและการตลาดให้มีประสิทธิภาพ เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภค เศรษฐกิจและสถานการณ์การแข่งขันมากขึ้น เช่น หันมาขายผ่านระบบ E-commerce หรือตลาดออนไลน์มากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของคนไทยที่เปลี่ยนไป เพื่อรักษาส่วนแบ่งในตลาดและขยายอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์คทั้งในและต่างประเทศในอนาคต” โดยปัจจุบัน อ.ส.ค. เป็นผู้นำกลุ่มเจเนอรัล มิลค์ โดยครองสัดส่วนทางการตลาดอยู่ประมาณร้อยละ 49 ดังนั้น อ.ส.ค. จึงต้องเร่งปรับแผนกลยุทธ์เพื่อขยายตลาด และเจาะกลุ่มเป้าหมายใหม่ ตลอดจนศึกษาและวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆออกสู่ตลาด เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคหันมาสนใจและบริโภคนมกันมากขึ้น รวมทั้งวางเป้าหมายทำรายได้ให้เข้าเป้าตามแผนรัฐวิสาหกิจระยะ 5 ปีซึ่งจะสิ้นสุดในปี 2564 ที่กำหนดยอดขายไว้ที่ 12,000 ล้านบาท อีกทั้งเร่งขับเคลื่อนแบรนด์นมไทย-เดนมาร์คก้าวสู่ นมแห่งชาติในปี 2565 (Being ‘National Milk by 2022) รวมทั้งเพื่อตอกย้ำการเป็น “Value Proposition” อันแข็งแกร่งของแบรนด์ไทย-เดนมาร์ค นั่นคือ ผลิตจากนมโคสดแท้ 100%