บริทาเนียผุดโครงการลักชัวรีทิ้งทวน
บริทาเนีย ลุยเปิดโครงการบ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี 25ล้านอัพ เจาะกลุ่มครอบครัวขยาย นำร่อง “เบลกราเวีย บางนา” 65 ยูนิต ระบุซัพพลายน้อย เผยปีหน้าหันจับเรียลดีมานด์บ้านราคา 2-7ล้าน
นางศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริทาเนีย จำกัด ผู้พัฒนาธุรกิจบ้านจัดสรรในเครือ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ เปิดเผยว่า ธุรกิจ “บริทาเนีย” แบรนด์ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮมที่สามารถเติบโตและขยายเซ็กเมนต์ช่วง 3 ปีที่ผ่านมานั้นเป็นนโยบายของออริจิ้น บริษัทแม่ในการไดเวอซิฟายพอร์ตแนวราบและมีการตอบรับที่ดี
โดยปีนี้บริษัทจะเปิดตัวแบรนด์ใหม่ 3 แบรนด์ ได้แก่ "ไบรตัน" แบรนด์ทาวน์โฮมระดับราคา 2-5 ล้านบาท "แกรนด์บริทาเนีย" แบรนด์บ้านเดี่ยวระดับราคา 7-10 ล้านบาท และ "เบลกราเวีย" แบรนด์บ้านเดี่ยวพรีเมียมระดับราคา 25-35 ล้านบาทตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย สอดคล้องกับ ข้อมูลเอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (AREA) ที่ระบุว่า ซัพพลายตลาดบ้านเดี่ยวในเซกเมนต์ลักชัวรีมีจำนวนยูนิตเหลือน้อยทั้งในระดับราคา30ล้านบาทขึ้นไปและราคาระหว่าง20-30 ล้านบาทมีซะพพลายเหลือน้อยที่สุด สะท้อนดีมานด์ในย่านที่ค่อนข้างสูงสำหรับบ้านระดับลักชัวรี
จากสถานการณ์โควิด19 ทำให้ตลาดแนวราบได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นจึงเป็นโอกาสในการพัฒนาที่อยู่อาศัยให้ตอบโจทย์ลูกค้าเฉพาะ (Niche Market) ที่ต้องบ้านสำหรับครอบครัวขยายที่อยู่ร่วมกันทั้ง 3 เจนเนอเรชั่นภายใต้โครงการ เบลกราเวีย เอ็กซ์คลูซีฟ พูลวิลล่า บางนาซึ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยว 2 ชั้น มูลค่าโครงการกว่า 1,800 ล้านบาท บนเนื้อที่ 23 ไร่ บนถนนคู่ขนานกาญจนาภิเษก จำนวน 65 ยูนิตราคาเริ่มต้น 25-40 ล้านบาท เนื่องจากซัพพลายในโซนบางนามีน้อย ในปีนี้บริษัทสามารถทำยอดขายได้ 5,000ล้านบาทตามเป้าหมาย
“บริทาเนียจะขยายธุรกิจทั้งในด้านเซ็กเมนต์และทำเล ที่มีศักยภาพตอบโจทย์การใช้ชีวิตและเดินทางสะดวกเป็นหลักแต่จะไม่ทิ้งทำเลเดิมที่เป็นเจ้าตลาดอย่างกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออกที่มีศักยภาพและฐานลูกค้าเก่า”
นางศุภลักษณ์ กล่าวว่า สำหรับแผนการทำตลาดปี 2564 จะเปิดตัว 10-12 โครงการใหม่ มูลค่าประมาณ 1 หมื่นล้านบาท แบรนด์หลักจะเป็นไบรตัน แบรนด์ทาวน์โฮมระดับราคา 2-5 ล้านบาทในโซนตะวันออก (อีอีซี) ชลบุรี, ฉะเชิงเทรา และ แบรนด์บริทาเนีย แบรนด์ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม ระดับราคาตั้งแต่ 3-7 ล้านบาทโซนกรุงเทพฯ ตะวันตกเฉียงใต้ และสมุทรปราการ เพื่อจับกลุ่มเรียลดีมานด์ระดับราคา 2-7 ล้านบาทที่มีสัดส่วนในตลาด 80%เพื่อรองรับพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคนิวนอร์มอลที่ทุกคนต้องการพื้นที่ส่วนตัว และต้องการเว้นระยะห่างทางทางสังคมกับผู้อื่น