2564 ปีทองการลงทุนในตลาดเกิดใหม่
แม้ประเทศไทยเอง อาจจะไม่ได้อยู่ในเป้าหมายแรกๆ ของนักลงทุนต่างชาติ เนื่องจากการฟื้นตัวของตัวเลขเศรษฐกิจในปีหน้าจะยังไม่โดดเด่นเท่า จีน ไต้หวัน และอินโดนีเซีย แต่ยังมีโอกาสที่เม็ดเงิน Fund flow จะไหลเข้าได้เช่นกัน
บทความนี้สำหรับผม จะเป็นฉบับสุดท้ายของปี 2564 ผมจึงอยากจะขอสรุปกลยุทธ์การลงทุนสำหรับปี 2564 โดยฝ่ายวิจัยฯ บล. เคจีไอ (ไต้หวัน) เพื่อไว้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจลงทุนของผู้อ่านทุกท่าน
1) ประเด็นเรื่องการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก : ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินปี 2564 จะเห็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในหลายประเทศทั่วโลก โดยจะเริ่มเห็นพัฒนาการที่ดีขึ้นของตัวเลขภาคการผลิต (ดัชนี PMI) และการค้าระหว่างประเทศ ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯจะยังมีแนวโน้มอ่อนค่าอย่างต่อเนื่องจากนโยบายการเงินของสหรัฐฯ อย่างไรก็ดีการฟื้นตัวของตัวเลขเศรษฐกิจในภาพรวมจะยังไม่กลับสู่ระดับในปี 2562 ก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในปี 2564 จะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ซึ่งคาดว่ากลุ่มประเทศที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่โดดเด่นที่สุด (เทียบมูลค่า GDP ปี 2564 กับ ปี 2562 แล้วเป็นบวก) 5 อันดับแรกได้แก่ จีน ไต้หวัน อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ และโปแลนด์ ซึ่งจะเป็นได้ว่า 4 อันดับแรกเป็นประเทศในภูมิภาคเอเชีย ในทางกลับกัน ประเทศที่คาดว่าเศรษฐกิจในปี 2564 ยังฟื้นตัวในระดับที่อ่อนแอ และยังไม่กลับสู่ระดับปกติในปี 2562 (เทียบมูลค่า GDP ปี 2564 กับ ปี 2562 แล้วติดลบ) 5 อันดับท้าย ได้แก่ สเปน อิตาลี เม็กซิโก ฝรั่งเศส และแอฟริกาใต้ ซึ่งจะเห็นได้ว่า กลุ่มประเทศในยุโรป และแอฟริกาใต้ ถูกคาดการณ์ว่าจะมีการฟื้นตัวของเศรษฐกิจช้ากว่าในภูมิภาคเอเชีย
2) ตลาดหุ้นเกิดใหม่ในเอเชียจะเป็นเป้าหมายของการลงทุนในปีหน้า : ผลจากการฟื้นตัวของเม็ดเงินลงทุน (CAPEX) ภาคการผลิต (ดัชนี PMI) และการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (ผลจากนโยบายการเงิน) ทำให้ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินว่า หุ้นตลาดเกิดใหม่นอกประเทศสหรัฐฯ (Non-US stocks) ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นหุ้นในกลุ่มที่เชื่อมโยงกับวัฏจักรเศรษฐกิจ (อาทิ กลุ่ม สินค้าโภคภัณฑ์ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มอุตสาหกรรมฯ เป็นต้น) มีโอกาสที่โดดเด่นกว่า (Outperform) เนื่องจากในช่วงแรกของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ หุ้นในกลุ่มเหล่านี้มักจะ Outperform นอกจากนี้ หุ้นในกลุ่มประเภท Value stock หรือ หุ้นที่ไม่แพง (โดยปกติจะพิจารณาจากอัตราส่วน PE หรือ PBV) ที่ยัง Laggard จะเป็นเป้าหมายของเม็ดเงินลงทุนปีหน้า แทนที่หุ้น Growth stock (เช่น หุ้นกลุ่ม เทคโนโลยี) และ Defensive stock (เช่น หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค) ที่โดดเด่นในปีที่ผ่านมา
ดังนั้นโดยสรุปภาพรวมการลงทุนในปี 2564 แล้ว ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินว่า หุ้นตลาดเกิดใหม่โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียมีโอกาสที่จะ Outperform ตลาดพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ และหุ้นที่คาดว่าจะ Outperform ได้แก่ หุ้นกลุ่มประเภท Cyclical value stock เช่น กลุ่มพลังงาน สินค้าโภคภัณฑ์ วัตถุดิบการผลิต กลุ่มอุตสาหกรรมฯ กลุ่มสถาบันการเงิน และ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น
ซึ่งผมเชื่อว่า แม้ประเทศไทยเอง อาจจะไม่ได้อยู่ในเป้าหมายแรกๆ ของนักลงทุนต่างชาติ เนื่องจากการฟื้นตัวของตัวเลขเศรษฐกิจในปีหน้าจะยังไม่โดดเด่นเท่า จีน ไต้หวัน และอินโดนีเซีย แต่ยังมีโอกาสที่เม็ดเงิน Fund flow จะไหลเข้าได้เช่นกัน เนื่องจากหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่มีน้ำหนักส่วนใหญ่ แล้วก็เป็นกลุ่มที่เรียกว่า Cyclical value stock เช่นกัน โดยหุ้นในกลุ่มนี้ ยกตัวอย่างเช่น กลุ่มพลังงาน (PTT, TOP เป็นต้น) กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมฯ (WHA, AMATA เป็นต้น) กลุ่มสถาบันการเงิน (BBL, KBANK เป็นต้น)
นอกจากนี้ ยังอาจพิจารณาหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว ที่คาดว่าพ้นจุดต่ำสุดในปี 2563 ไปแล้ว อาทิ AOT, MINT CENTEL เป็นต้น และสำหรับเป้าหมายดัชนี SET index ไตรมาสแรกของปี 2564 ฝ่ายวิจัยฯ บล. เคจีไอ (ประเทศไทย) ประเมินไว้ที่ 1,590 จุด (อิงประมาณการ EPS 76.2 บาท/หุ้น และเป้าหมาย PE 20.9 เท่า) ...
เนื่องจากบทความนี้ จะเป็นฉบับสุดท้ายของผมส่งท้ายปี 2563 จึงขอสวัสดีปีใหม่ผู้อ่านและนักลงทุนทุกท่าน ขออวยพรให้ทุกท่านประสบความสำเร็จกับการลงทุนในปี 2564