"โนเบิล”เมินโควิด เดินหน้าลงทุน4.5หมื่นล้าน รับอสังหาปี64ฟื้น
“โนเบิล” ไม่หวั่นโควิดระลอกใหม่ มั่นใจกระทบระยะสั้น ผนึกบีทีเอส-ฮ่องกงแลนด์ ผุด 11 โครงการ มูลค่า 4.5 หมื่นล้านบาท สูงสุดรอบ 30 ปี ครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ ทำเลซีบีดี-ชานเมืองรองรับดีมานด์ไทย-เทศฟื้น ตั้งเป้า 3 ปีรายได้ 1.5-2หมื่นล้านบาท ขึ้นท็อปไฟว์
นายธงชัย บุศราพันธ์ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ที่สมุทรสาครนั้น น่าจะมีผลกระทบระยะสั้น อย่างมากไม่เกินไตรมาสแรกปี 2564 โดยในเชิงจิตวิทยาจะทำให้คนไม่กล้าเดินห้างสรรพสินค้าหรือเดินทางระยะหนึ่ง แต่ไม่น่าจะส่งผลในระยะยาว
ในด้านธุรกิจมองว่ามีปัจจัยบวก ทั้งการเริ่มมีวัคซีนเข้ามา และดอกเบี้ยต่ำเพราะค่าเงินบาทแข็ง ดังนั้นบริษัทจึงยังคงเดินหน้าแผนการลงทุนต่อเนื่อง โดยวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 11 โครงการ ปีหน้า มูลค่ารวม 45,100 ล้านบาท สูงสุดในรอบ 30 ปี ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท แบ่งเป็นคอนโด 25,000 ล้านบาท และแนวราบ 20,100 ล้านบาท
แบ่งเป็นโครงการที่บริษัทพัฒนา 5 โครงการ โครงการที่ร่วมทุนกับบริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) ในกลุ่มบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) 5 โครงการ และโครงการที่ร่วมทุนกับฮ่องกงแลนด์ 1 โครงการ โดยครึ่งปีแรก 2564 จะเปิดทั้งคอนโดและแนวราบ 4 โครงการ คือ 1. โครงการ โนเบิล ฟอร์ม ทองหล่อ มูลค่า 5,400 ล้านบาท 2. โครงการ นิว โนเบิล เซ็นเตอร์ บางนา มูลค่า 700 ล้านบาท 3. โครงการ ดิ เอ็มบาสซี่ แอท ไวเลส มูลค่า 10,700 ล้านบาท และ 4. โครงการ นิว คอนโด แอท ดอนเมืองมูลค่า 1,900 ล้านบาท ส่วนอีก 7 โครงการ ทั้งคอนโดบ้านแฝด และทาวน์โฮม จะทยอยเปิดตัวช่วงครึ่งปีหลัง
ผนึกพันธมิตรเพิ่มจุดแข็งทำเล
นายธงชัย กล่าวว่า สำหรับความร่วมมือกับ ยู ซิตี้ มีสัดส่วนการถือหุ้น 50:50 ในแต่ละโครงการ ทั้งคอนโด แนวราบ บ้านแฝด และทาวน์โฮม บนทำเลถนนสุขสวัสดิ์ ถนนราษฎร์บูรณะ ถนนคูคต และถนนพระราม 9 รวม 4 โครงการ มูลค่ากว่า 23,000 ล้านบาท หลังจากที่ประสบความสำเร็จในการร่วมทุนพัฒนาโครงการแรกทำเลถนนรัชดา-ลาดพร้าว มูลค่า 2,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมียอดขาย 60% โดยทั้ง 4 โครงการใหม่ ติดรถไฟฟ้าสายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสถานีคูคต (สายสีเขียว) สถานีราษฎร์บูรณะ และสถานีประชาอุทิศ (สายสีม่วง) รวมถึงรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีพระราม 9
นอกจากนี้ ยังจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ลงทุนซื้อที่ดินบริเวณโครงการธนาซิตี้ บางนา โดยโนเบิลถือ 40%, สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง 41%, และบีทีเอส 19% มีทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาท
จับมือพันธมิตรขยายทำเล-ฐานลูกค้า
“ปีหน้าเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงของการเติบโตและการลงทุนก้าวสำคัญของโนเบิลด้วยการร่วมมือกับพันธมิตรที่มีศักยภาพเงินทุนและที่ดิน และความเชี่ยวชาญในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ ลดความเสี่ยงและทำให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ตั้งแต่ระดับราคา 1.1 ล้านบาทต่อยูนิต ถึงระดับ 100 ล้านบาท และครอบคลุมทั้งย่านในทำเลย่านธุรกิจ (ซีบีดี) ย่านธุรกิจใหม่ (นิว ซีบีดี) และชานเมืองตามแนวรถไฟฟ้า รองรับกำลังซื้อที่จะฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง”
นายธงชัย กล่าวว่า บริษัทขยายฐานลูกค้าเป็นกลุ่มกำลังซื้อสูงและกลุ่มกำลังซื้อจำกัด จากเดิมเป็นระดับกลางถึงบน ให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ลดลง โดยเพิ่มพอร์ตระดับราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาทสำหรับตลาดแมสมากขึ้น รวมทั้งขยายจากคอนโดเป็นแนวราบ เพื่อบาลานซ์พอร์ตให้สมดุลมากขึ้น ตามพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนไปหลังโควิด แต่ขณะเดียวกันยังคงพัฒนาโครงการคอนโด เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าคนไทยและต่างประเทศที่มีความต้องการ
ปัจจุบันฐานลูกค้าในประเทศ 60% ต่างประเทศ 40% แม้ว่าที่ผ่านมาลูกค้าอาจชะลอการซื้อ จากสถานการณ์โควิด-19 แต่โนเบิลยังครองส่วนแบ่งยอดขายในตลาดรวมของกลุ่มลูกค้าต่างชาติ ได้ถึง 37% จากยอดขายรวมคอนโดกรุงเทพฯ และปริมณฑลช่วง 9 เดือนปี 2563 คาดว่าปีหน้าคาดว่าสัดส่วนรายได้จากต่างชาติของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 35% จากปีนี้ 26% เนื่องจากการสำรวจของเอเจนท์ต่างประเทศ พบว่า มีความสนใจอสังหาฯ ไทยเป็นอันดับหนึ่ง 67% รองลงมาเป็นญี่ปุ่น 13% และอังกฤษ 8% จึงมั่นใจว่า หลังจากเปิดประเทศให้คนต่างชาติเข้ามาได้ตลาดอสังหาฯจะกลับมาฟื้นตัวได้ในไตรมาส 3-4 ปีหน้า
คาดรายได้ปีหน้า 1.1 หมื่นล้าน
“ จากแผนธุรกิจการลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ปี 2564 คาดว่าบริษัทจะมีรายได้ 11,000 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 10% จากเป้าหมายรายได้รวมปีนี้ 10,000 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดขาย (pre-sale) ไว้ที่ 16,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 146% จากปีนี้ที่ตั้งเป้าหมายไว้ 6,500 ล้านบาท และภายในอีก 3 ปีข้างหน้า คาดว่า จะมีรายได้ 1.5-2 หมื่นล้านบาทขึ้นท็อปไฟว์อสังหาในปี2566”
นายธงชัย กล่าวว่า ขณะเดียวกันนี้บริษัทจะมีการขายสินทรัพย์ที่เป็นรายได้ประจำออก คือโครงการ NOBLE REMIX ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจากับกองทุนที่สนใจซื้อ และอาจจะมีการขายที่ดิน จำนวน 2-3 แปลง ที่บริษัทยังไม่พัฒนาออกไปในปี 2564 เพื่อดึงกระแสเงินสดกลับเข้ามา โดยล่าสุดบริษัทยอดขายรอโอน (Backlog) ในมือมูลค่ารวมประมาณ 15,000 ล้านบาท จะทยอยรับรู้อย่างต่อเนื่อง และมีสินค้าพร้อมขาย (Inventory) มูลค่ารวมประมาณ 15,000 ล้านบาท เป็นสินค้าพร้อมโอนประมาณ 4,000 ล้านบาท จะช่วยสนับสนุนการรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง
ด้านความแข็งแกร่งทางฐานะทางการเงิน ปีหน้าบริษัทตั้งงบลงทุนเพื่อการพัฒนาโครงการต่าง ๆ ไว้แล้วกว่า 9,000 ล้านบาท เพื่อซื้อที่ดิน ก่อสร้าง และร่วมทุน โดยในเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา บริษัท ได้เสนอขายหุ้นกู้จำนวน 1,250 ล้านบาท ซึ่งเป็นยอดจองสูงกว่าที่ตั้งไว้ จึงต้องมีการนำหุ้นกู้สำรองเพื่อการเสนอขายเพิ่มเติม (Green Shoe) มาใช้ และยังได้เตรียมออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญใหม่ของบริษัทฯ ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมในอัตราส่วน 4 หุ้นสามัญเดิมต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจในระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า
“ในแง่ของมาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐบาล อยากให้แก้ไขกฎระเบียบ เพื่อดึงต่างชาติเข้ามาซื้ออสังหาฯ ในประเทศเพิ่มขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องเสียรายได้อะไร เหมือนกับในประเทศ มาเลเซีย ที่ให้วีซ่าพักอาศัยระยะยาว แก่ผู้ซื้ออสังหาในประเทศระดับราคา5 ล้านบาทสามารถได้วีซ่า 5 ปี ล่าสุดบริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาเซ็นสัญญากับไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด เพื่อร่วมโครงการ อีลิท เฟล็กซิเบิล วัน ขายคอนโดระดับลักซ์ชัวรี่ราคา 10 ล้านบาท ให้กับลูกค้าต่างชาติ”