เทียบความต่างของ 'โควิด-19' ปี 2563 VS ปี 2564 ในประเทศไทย
ส่องความแตกต่างการระบาดของโควิด-19 ในปี 2563 กับปี 2564 ในประเทศไทย ต่างกันอย่างไรบ้าง?
การระบาดของโควิด-19 รอบนี้ คือตั้งแต่กลางเดือน ธ.ค.2563 เป็นต้นมา มีความแตกต่างที่สำคัญจากการระบาดรอบที่แล้วในช่วงปลายเดือน มี.ค.-เม.ย.2563 ที่สามารถสรุปได้ดังนี้
1.การระบาดรอบแรกในเดือน มี.ค.-เม.ย.2563 นั้น พบผู้ติดเชื้อรายใหม่เฉลี่ยต่อวันสูงสุดประมาณ 120 คน แต่รอบล่าสุดพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่อวันประมาณกว่า 300 คนและอาจปรับตัวสูงขึ้นต่อไปอีกได้
2.รอบแรกนั้นเกิดความตื่นกลัวอย่างมาก เพราะรัฐบาลเองก็บอกให้ประชาชนกลัวและเป็นเรื่องแปลกใหม่ แต่รอบนี้แม้ว่าจะระบาดรุนแรงกว่ารอบแรกที่แล้วมาก แต่ไม่ใช่เรื่องใหม่และรัฐบาลก็พยายามไม่ให้ประชาชนตื่นตระหนก ไม่กล้าปิดเศรษฐกิจและประกาศเคอร์ฟิว เพราะรู้ว่ารอบนี้ความเสียหายอาจจะสูงและยืดเยื้อมากกว่ารอบที่แล้วก็ได้
3.ขณะนี้เศรษฐกิจไทยยังเปราะบางอยู่มาก เพราะเศรษฐกิจยังแทบจะไม่ได้มีโอกาสฟื้นตัวจากการระบาดรอบที่แล้วเลย จีดีพีเพิ่งติดลบไป 6-7% ในปี 2563 และที่เดิมคาดเอาไว้ว่าจีดีพีจะขยายตัวได้ 4% ในปี 2564 นั้น อาจต้องลดการคาดการณ์ลงมาเหลือเพียง 2% หรือต่ำกว่านั้นก็ได้
4.การระบาดรอบนี้จะแก้ไขยากกว่ารอบที่แล้วอย่างมาก เพราะต้นเหตุของการระบาดแตกต่างกัน ในเดือน มี.ค.-เม.ย.2563 นั้น การระบาดมีต้นเหตุมาจากคนไทยและชาวต่างประเทศที่เป็นโควิด-19 เดินทางกลับมาประเทศไทยทางอากาศยาน แล้วนำเอาโควิด-19 กลับมาด้วย แนวทางจัดการคือการยุติการเดินทางเข้า-ออกประเทศทางอากาศแล้วปิดกิจกรรมภายในประเทศ (ล็อกดาวน์) เป็นการชั่วคราวก็สามารถยุติการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ ทำให้มีผู้ติดเชื้อสะสมเพียง 3,000-4,000 รายและเสียชีวิต 50 กว่าราย
ณ เวลานั้น ประเทศเพื่อนบ้านไม่มีผู้ป่วยเป็นโควิด-19 เลย เพราะประเทศแรกๆ ที่รับเอาโควิด-19 กลับมาภูมิภาคนี้คือประเทศที่เศรษฐกิจเปิดและพึ่งพาการท่องเที่ยวสูง เช่น ประเทศไทย สิงคโปร์ เกาหลีใต้ และฮ่องกง เป็นต้น
5.แต่รอบนี้คือปี 2564 ประเทศไทยอยู่กับภาวะที่ประเทศเพื่อนบ้านที่สำคัญ คือ เมียนมาและมาเลเซียกำลังต้องเผชิญกับการระบาดของโควิด-19 ที่ค่อนข้างจะหนักหน่วง กล่าวคือ
5.1 เมียนมา : มีจำนวนผู้ป่วยสะสม 127,584 ราย เสียชีวิตไปแล้ว 2,766 ราย และยังมีผู้ป่วยที่ต้องดูแลอยู่ในขณะนี้ 15,000 ราย โดยพบผู้ป่วยรายใหม่วันละประมาณ 630 คน
5.2 มาเลเซีย : มีจำนวนผู้ป่วยสะสม 122,845 ราย เสียชีวิตไปแล้ว 509 คน และยังมีผู้ป่วยที่ต้องดูแลอยู่ในขณะนี้ 22,089 คน โดยพบผู้ป่วยรายใหม่วันละประมาณ 2,000 คน
ทั้งนี้ ประเทศไทยมีชายแดนติดกับเมียนมายาวประมาณ 2,400 กิโลเมตร และชายแดนติดกับมาเลเซียยาวประมาณ 595 กิโลเมตร ดังนั้น หากเวลาผ่านไปแล้วจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ในประเทศไทยต่อวันจะเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนใกล้เคียงกับประเทศเมียนมาและมาเลเซีย ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดแต่อย่างใด
6.ประเด็นที่สำคัญคือ ประเทศไทยพึ่งพาเมียนมาและมาเลเซียอย่างมากในเชิงเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพึ่งพาแรงงานจากประเทศเมียนมา และส่วนหนึ่งก็ต้องยอมรับว่าน่าจะมีแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาอย่างผิดกฎหมายเป็นจำนวนมากเป็นล้านราย ซึ่งควบคุมได้ยาก เพราะเป็นกระบวนการที่ผู้ที่มีอิทธิพลได้ผลประโยชน์มูลค่ามหาศาล คล้ายคลึงกับกิจกรรมเลี่ยงกฎหมายอื่นๆ ที่กำลังเป็นสาเหตุการแพร่ขยายของโควิด-19 คือ “บ่อนการพนัน” เป็นต้น
กล่าวคือการปราบปรามจึงน่าจะทำได้อย่างไม่ทั่วถึงและขาดประสิทธิภาพ ทำให้ปัญหาน่าจะยืดเยื้อ แตกต่างจากการยุติการบินเข้า-ออกประเทศเมื่อเดือน มี.ค.-เม.ย.2563
7.รอบที่แล้วเศรษฐกิจได้รับผลกระทบหลักๆ จากการสูญเสียอุปสงค์ (demand) ของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดิมเคยเดินทางเข้าประเทศไทยประมาณ 40 ล้านคนต่อปี เหลือเพียง 6 ล้านคนในปี 2563 และในปี 2564 นั้นอาจมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยได้เพียง 5-6 ล้านคนหรือน้อยกว่านั้นก็เป็นได้
แต่ผมคิดว่าประเด็นสำคัญที่แตกต่างจากรอบที่แล้ว (ในเดือน มี.ค.-เม.ย.2563) คือรอบนี้ภาคการผลิต (supply) เสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญด้วย ไม่เพียงแต่การต้องเผชิญกับการหดตัวของอุปสงค์ เพราะดังที่เห็นได้จากกรณีของสมุทรสาคร แหล่งแพร่เชื้อคือแรงงานต่างด้าวที่ผิดกฎหมายที่มีปะปนอยู่กับแรงงานต่างด้าวที่ถูกกฎหมายและแรงงานไทยในอุตสาหกรรมประเภทต่างๆ (โควิด-19 คงไม่เลือกเข้าไปเฉพาะในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับการทำอาหารทะเล)
ดังนั้น เมื่อเห็นว่าโควิด-19 แพร่ขยายไปถึง จ.ชลบุรีและระยอง ซึ่งเป็นที่ตั้งของท่าเรือหลัก 2 ท่าเรือของประเทศคือแหลมฉบังและมาบตาพุด ก็ทำให้เห็นได้ว่าระบบห่วงโซ่การผลิต (supply chain) ของประเทศไทยเสี่ยงได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญได้ในการระบาดใหม่รอบนี้
8.การพึ่งพาแรงงานต่างด้าว (ที่ปัจจุบันมีทั้งแบบที่ถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย) นั้น เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศไทย เพราะประชากรของไทยกำลังแก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว โดยจำนวนประชากรที่อยู่ในวัยทำงานจะลดลงอย่างต่อเนื่องจาก 43.26 ล้านคนในปี 2563 มาเป็น 36.5 ล้านคนในปี 2583 การสูญเสียแรงงานกว่า 6 ล้านคนใน 20 ปีข้างหน้า
หมายความว่าประเทศไทยจะต้องมีนโยบายแรงงานต่างด้าวที่ชัดเจนและถูกต้องในการส่งเสริมเศรษฐกิจพร้อมไปกับความมั่นคงทางสาธารณสุข ซึ่งอาจเน้นการใช้หุ่นยนต์แทนมนุษย์ หรือการที่ระบบนำเข้าแรงงานต่างด้าวที่ถูกกฎหมายและปลอดภัย เช่นที่ประเทศสิงคโปร์ เป็นต้น
ทั้งนี้ สิงคโปร์นำเข้าแรงงานประมาณ 1.35 ล้านคน (คิดเป็นสัดส่วนกว่า 20% ของประชากรสิงคโปร์) และเผชิญกับการระบาดของโควิด-19 ในกลุ่มแรงงานต่างด้าวในเดือน เม.ย.และ พ.ค.2563 แต่ก็สามารถควบคุมการระบาดได้จนประสบความสำเร็จ กล่าวคือปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพียงวันละประมาณ 27 คน