ปี 2564 'สตาร์ส ไมโครอิเล็กทรอนิกส์' พลิกโฉมครั้งใหญ่ ! เทคออฟสู่ผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง หวังหยุดผลประกอบการผันผวน ผลักดันธุรกิจ Optics และ อิเล็กทรอนิกส์ Box Build ขึ้นแท่น 'พระเอกคนใหม่'
ผลประกอบการผันผวนทุกปี 'ปีนี้กำไร ! ปีหน้าขาดทุน !' นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดหลายปีที่ผ่านมาของ บมจ. สตาร์ส ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) หรือ SMT ผู้ประกอบการรับจ้างผลิตและประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ สอดรับกับผลดำเนินงานย้อนหลัง 3 ปี (2560-2562) ทั้งกำไรสุทธิและขาดทุนสุทธิอยู่ที่ -545.89 ล้านบาท 70.42 ล้านบาท และ -39.37 ล้านบาท ตามลำดับ ล่าสุด งวด 9 เดือนปี 2563 กำไรสุทธิ 49.10 ล้านบาท
มาวันนี้ ! SMT เปลี่ยนตัวเองครั้งใหญ่หลังปี 2563 แต่งตั้งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) คนใหม่ 'วิรัตน์ ผูกไทย' เข้ามาเพื่อสร้างศักยภาพภายในองค์กรเพื่อการขยายฐานลูกค้าไปยังตลาดใหม่ๆ ในอนาคต ซึ่งแม่ทัพคนใหม่ยืนยันกับ 'กรุงเทพธุรกิจ BizWeek' ว่า นับตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นไปจะไม่เห็นผลประกอบการ SMT กลับมาผันผวนเฉกเช่นเดิมแล้ว
สอดคล้องกับแผนธุรกิจในปี 2564 เน้นตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่มีระดับมาร์จินสูง โดยการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงสร้าง 'มูลค่าเพิ่ม' ของผลิตภัณฑ์ โดยปีนี้ 'ดาวเด่น' ที่จะสร้างผลประกอบการเติบโตเป็นธุรกิจ Optics และ ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ Box Build ที่คาดว่าปีนี้จะขึ้นมาแทนที่ธุรกิจ IC ที่สัดส่วนรายได้จะลดลงมาอยู่ในระดับ 30-40% จากเดิม 80%
นอกจากนี้ในแง่ของงานวิศวกรรม (Engineering) บริษัทจะมีโปรดักท์ที่ออกแบบเองให้กลับลูกค้า โดยเป็นการเพิ่มดีไซน์ ซึ่งเป็นการมูลค่า (Added Value) ให้กับลูกค้าด้วย ซึ่งบริษัทมีลูกค้ารายใหญ่สหรัฐฯ รองรับแล้ว คาดว่าจะเริ่มผลิตในไตรมาส 1 ปี 2564 ซึ่งถือเป็น High Volume ด้วย เป็นงาน complete box ถือว่าเป็นบริการ (Service) ใหม่ ที่ทำให้บริษัทแข็งแกร่งขึ้น และเป็นการสร้าง Value ที่แท้จริง ควบคู่ไปกับสิ่งที่บริษัทมีอยู่แล้ว
'ธุรกิจของ SMT มีการขยายตัวมากขึ้น จากเดิมบริษัทอยู่ในธุรกิจที่ผลิตภัณฑ์มีรายละเอียดไม่มาก แต่ว่าตอนนี้บริษัทเริ่มเน้นมาทำกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีรายละเอียดมากขึ้นและมีเทคโนโลยีระดับสูงและมีความซับซ้อนเป็น Product System มากขึ้น สร้าง Added Value ให้บริษัทได้สูงมากขึ้น'
อีกทั้งบริษัทเตรียมใช้กลยุทธ์ JDM (Joint design manufacturer) ร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์และผลิตสินค้าให้ลูกค้า เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาวอีกด้วย
สำหรับผลประกอบการปีนี้ตั้งเป้ายอดขายระดับ 2,600 ล้านบาท เติบโต 30-40% จากปีก่อนที่คาดว่ารายได้ 1,974 ล้านบาท เนื่องจากปัจจุบันมี 'คำสั่งซื้อ' (ออเดอร์) จากลูกค้าล้นยาวไปจนถึงช่วงปลายปีแล้ว ประกอบกับยังไม่นับรวมกับลูกค้าใหม่ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 10 ราย ซึ่งอยู่ระหว่างการเซ็นสัญญาและคาดว่าจะเห็นยอดออเดอร์เข้ามานับตั้งแต่ช่วงไตรมาส 1 ปี 2564
โดยเป็นลูกค้าในแถบสหรัฐและยุโรปซึ่งเป็นลูกค้าที่ออเดอร์ในสินค้าที่มีมาร์จินระดับสูง และลูกค้าแต่ละรายมีออเดอร์ระดับ 1,000 ล้านบาท
วิรัตน์ ผูกไทย
เขา บอกต่อว่า สำหรับแผนธุรกิจ 5 ปี (2564-2568) ตั้งเป้าหมายการเติบโตเฉลี่ยไม่ต่ำ 30% ทุกปี ฉะนั้นในปี 2568 มีโอกาสรายได้แตะ 7,500 ล้านบาท ซึ่งในระยะ 3 ปีแรก จะมาจากการเติบโตของธุรกิจหลัก (Organic Growth) ส่วนระยะปีที่ 4 และ 5 (2567-2568) คาดว่าจะมีการซื้อกิจการ (M&A) เข้ามาสร้างการเติบโตให้เร็วยิ่งขึ้น
โดยขนาดของการลงทุนซื้อกิจการนั้น คาดว่ามูลค่าลงทุนจะไม่เกิน 'พันล้านบาทต่อดีล' ภายใต้บริษัทจะต้องมียอดขายระดับ 20-30 ล้านดอลลาร์ รวมทั้งบริษัทที่ SMT เข้าไปลงทุนนั้นจะบริษัทต้องมีกำไรจากธุรกิจอยู่แล้วด้วย รวมถึงยอดขายของ SMT ต้องใหญ่กว่าประมาณ 7-10 เท่า
อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์การทำ M&A บริษัทไม่ได้ต้องการให้ SMT เติบโตในแง่ของรายได้และยอดขายอย่างเดียว แต่มีเป้าหมาย 3 เรื่อง นั่นคือ ข้อแรก การขยายเพื่อได้รับสิทธิ์ต่างๆ เช่น การขยายในไทย จะต้องได้รับสิทธิ์ BOI , ข้อ 2. ลงทุนในประเทศที่มีการบริหารจัดการได้ง่าย และข้อ 3. การลงทุนที่จะทำให้บริษัทอยู่ใกล้ลูกค้ามากขึ้น เดินทางได้สะดวก
นอกจากนี้ บริษัทลงทุนอัพเกรดระบบ ERP ซึ่งเป็นระบบที่ช่วยวางแผนและจัดการฐานข้อมูลองค์กร เพื่อให้มีการบริหารและใช้ทรัพยากรร่วมกันภายในองค์กรมีประสิทธิภาพสูงสุด ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มกำไรขององค์กร ซึ่งต่อไปบริษัทจะให้ซัพพลายเออร์ (Supplier) ซื้อของผ่านระบบออนไลน์ เพื่อที่บริษัทจะได้เลือกต้นทุนที่ต่ำที่สุด
'ตอนนี้เรารับออเดอร์ลูกค้าผ่านระบบ ERP ซึ่งมีข้อดีคือ ทำให้มองเห็นและคาดการณ์ออเดอร์ไปได้ในระยะยาวได้ เราเริ่มให้ Supplier ประมาณการวัตถุดิบเราไว้ให้ล่วงหน้าได้ตามที่เราต้องการใช้งานได้ ซึ่งเราใช้ระบบ ERP ประมาณ 80-90% แล้ว ซึ่งสามารถช่วยได้เยอะ ทำให้การบริหารจัดการล่วงหน้าได้ดีขึ้นมาก'