เล่นกับไฟ : อเมริกันรุ่นใหม่ กับนวัตกรรมในตลาดหุ้น
เมื่อเร็วๆ นี้ ตลาดหุ้นในสหรัฐร่วงหนักจากปัญหาความขัดข้องทางเทคนิคของระบบ ซึ่งส่วนใหญ่นักลงทุนรายย่อยมักทำผ่านออนไลน์ ซึ่งซ้ำเติมความเปราะบางที่มีอยู่ การซื้อหุ้นโดยใช้เทคโนโลยีดึงดูดนักลงทุนหน้าใหม่ที่ขาดประสบการณ์ ซึ่งนำสู่ความเสียหายกับเศรษฐกิจได้
เมื่อตลาดหุ้นในสหรัฐเปิดในวันที่ 28 ม.ค. การซื้อขายหุ้นซึ่งปัจจุบันคนส่วนใหญ่ทำออนไลน์ หยุดชะงักลง เพราะมีความขัดข้องทางเทคนิคของระบบ ผู้ลงทุนรายย่อยสับสน วิพากษ์วิจารณ์กันทางโซเชียลมีเดีย ถึงความเสียหายที่เกิดขึ้น จากการที่ไม่สามารถจะซื้อขายหุ้นได้ทันเวลา
ความกลัวเกิดจากผลกระทบก่อนนั้นหนึ่งวัน ดาวโจนส์ตกกว่า 600 จุด ซึ่งถือว่าเป็นการตกครั้งใหญ่หลังจากที่ดัชนีขึ้นสม่ำเสมอตั้งแต่เดือน ต.ค.ปีที่แล้ว หุ้นที่ร่วงครั้งนี้บ้างก็ว่าเป็นเพราะการแทรกแซงและปั่นหุ้น (กลุ่มสมาชิกในโซเชียลมีเดีย Reddit & WallStreetBets ชวนกันให้ซื้อ (ปั่น) หุ้นบางบริษัท (GameStop, AMC, Blackberry, Nokia etc.) เพื่อดึงราคาหุ้นให้สูงขึ้นเกินความเป็นจริงหลายเท่าภายในไม่กี่วัน เป้าหมายก็คือต้องการทำลาย “เจ้ามือ” หรือกลุ่มนักลงทุนระดับสถาบัน (Melvin Capital-hedge fund เป็นตัวอย่างที่เสียหายหลายพันล้านดอลลาร์ และต้องวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากนายทุน เพื่อเลี่ยงการล้มละลาย)
แอพซื้อขายหุ้น Robinhood ยอดนิยม ต้องตั้งกฎด่วนขึ้นมาให้ขายหุ้นที่เป็นปัญหาเหล่านี้ได้ แต่ห้ามซื้อ ทำให้หลายคนขาดทุน เพราะว่าหุ้นกลุ่มนี้ตกลงอย่างรวดเร็ว
หุ้นร่วงครั้งนี้ ซ้ำเติมกับความเปราะบางที่มีอยู่แล้วในเรื่องของโควิด-19 ซึ่งคนอเมริกันเสียชีวิตแล้วเกือบห้าแสนคน ความล่าช้าของเงินกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ และความขัดแย้งทางการเมืองต่อเนื่องหลังอดีต ปธน.ทรัมป์ อาจถูกปิดกั้นไม่ให้กลับมาร่วมในการเมืองอีกถูกดำเนินคดีในวุฒิสภา
สหรัฐเปรียบเสมือนห้องทดลองวิทยาศาสตร์ ที่ทำผิดทำถูก แล้วตามมาเก็บกวาดทีหลัง ประเทศนี้ให้โอกาสการแสดงออก วิพากษ์วิจารณ์ กล้าเสี่ยง ยอมผิด ยอมขาดทุน ล้มแล้วขอให้ลุกอีก โอกาสยังมี เพราะหากสำเร็จ ผลตอบแทนจะมหาศาล เนื่องจากอเมริกามีข้อได้เปรียบในเรื่องปริมาณของสภาพคล่องที่มีอยู่ในระบบ ธุรกิจการเงิน การธนาคาร การซื้อขายหุ้นและเทคโนโลยีสารพัดอย่างเกิดขึ้นได้ ก็เพราะบรรยากาศที่เอื้ออำนวยเหล่านี้
การที่อเมริกาแก้ปัญหาด้วยการเพิ่มหนี้สินสาธารณะ (เอาเงินใหม่มาแก้ปัญหาที่เงินเก่าสร้างไว้และยังดำรงชีวิตต่อไปได้เรื่อยๆ) ไม่ได้หมายความว่าประเทศอื่นจะสามารถทำได้ และถึงแม้ว่าทำได้ก็ไม่ควรจะทำ
มูลค่าตลาดหุ้นที่เพิ่มขึ้นสม่ำเสมอ ทำลายสถิติเก่าอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะหุ้นของกลุ่มเทคโนโลยี ทำให้เกิดความตื่นเต้นและดึงดูดผู้ลงทุนหน้าใหม่ โดยเฉพาะเยาวชนที่ได้เงินช่วยเหลือจากรัฐบาลระหว่างเรียนหรือทำงานอยู่ที่บ้าน การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน และเห็นตัวอย่างการทำกำไรในตลาดหุ้น (เมื่อขาดทุนก็อาจจะไม่เล่าให้เพื่อนฟัง) จึงทำให้เลียนแบบกันมาก ปริมาณของการซื้อขายเพิ่มขึ้นจนภาครัฐควบคุมไม่ทัน
ปัญหาที่ตามมาคือการขาดประสบการณ์ ขาดพื้นฐานและหลักการในการลงทุน นำสู่ความเสียหายให้กับเศรษฐกิจของครอบครัว การซื้อขายหุ้นซึ่งควรจะเป็นเรื่องของการศึกษาบริษัทที่เราจะถือหุ้นด้วยความรอบคอบ กลับกลายเป็นการหวังทำกำไรระยะสั้น โดยที่ไม่รู้ด้วยว่าบริษัทนั้นทำอะไร เปรียบเสมือนเป็นการพนันเสี่ยงดวงประจำวัน
การซื้อหุ้นโดยใช้เทคโนโลยีความรวดเร็ว (ของการใช้นิ้วมือเร็วกว่าสมอง) และการที่สามารถซื้อเสี้ยวหนึ่งของหุ้นได้ (Fractional share) โดยไม่ต้องซื้อหุ้นเต็ม การขายและซื้อ กลับไปกลับมาในพริบตาเดียว คอมพิวเตอร์ก็เก่งขึ้นเรื่อยๆ ทำให้อารมณ์เข้ามาครอบงำ ความโลภกลายเป็นพระเอก ความรอบคอบกลายเป็นพระรอง
Bitcoin ได้รับเสียงสนับสนุนจากหลายสถาบันการเงิน และเงินกองทุนของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงจึงทำให้ผู้ลงทุนมั่นใจเพิ่มขึ้น จากราคาต้นปี 2563 ประมาณ 9,000 ดอลลาร์ ตกลงไปต่ำกว่า 5,000 ดอลลาร์ เพราะโควิด-19 และขึ้นมาเรื่อยๆ จนถึงกว่า 33,000 ดอลลาร์ ขณะนี้สามารถซื้อได้ตลอด 24 ชั่วโมงผ่านโทรศัพท์มือถือ และซื้อเป็นเสี้ยว คือ 1 ดอลลาร์ก็ซื้อได้ หลายคนจึงกำลังเล่นการพนัน “โดยถูกกฎหมาย”
สมาชิกรัฐสภาหลายคนเรียกร้องให้มีการสอบสวนเรื่องผู้ลงทุนรายย่อย โดยเฉพาะเยาวชนที่ซื้อขายหุ้นมีความเสี่ยงสูง และบริษัทที่ให้บริการซื้อขายหุ้นโดยไม่เก็บค่าธรรมเนียม ทำกำไรและโตเร็วมาก การสร้างกระแสในโซเชียลมีเดีย ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลให้ปริมาณเงินหมุนเวียนสูง สร้างภาพคล้ายกับเศรษฐกิจอเมริกาโตเร็วและมั่นคง แต่แท้จริงแล้วส่วนหนึ่งอาจเป็นเพียงการพนันที่เฟื่องฟู
การเพิ่มสมรรถนะของซอฟต์แวร์ที่แพร่หลายในตลาดหุ้นทั่วโลก และข่าวสารที่ออกไปอย่างรวดเร็ว การเลียนแบบในสิ่งที่ดีหรือบกพร่อง เกิดผลกระทบเป็นลูกโซ่อย่างเร็วมาก “ไวรัส” ของการซื้อขายหุ้นแบบสุกเอาเผากิน หากไม่รีบหาทางป้องกันอย่างจริงจัง ก็จะกระทบต่อความเชื่อมั่นและเชื่อใจ ระบบทุนนิยมจะผุกร่อน ความล่มของเศรษฐกิจโลกก็จะตามมา
ระบบเศรษฐกิจมีหลายระบบ ที่เราคุ้นเคยมีสองระบบคือ ระบบทุนนิยมและสังคมนิยม ระบบทุนนิยมมีทั้งข้อดีและข้อเสีย และไม่ได้เหมาะสมสำหรับทุกสังคม แต่หากคนส่วนใหญ่มีโอกาสร่วมโดยยุติธรรม ก็จะส่งผลดีต่อกิจกรรมและผลิตผลต่างๆ ส่วนระบบสังคมนิยม เน้นถึงความรับผิดชอบของประชาชนและเสถียรภาพของภาครัฐ
รัฐบาลชุดใหม่ของสหรัฐกำลังใช้มาตรการของรัฐเข้าไปแก้ไขปรับปรุงกิจกรรมในภาคเอกชน โดยการผสมผสานใช้สังคมนิยมเดินคู่กับทุนนิยม เมื่อทำด้วยความรอบคอบและเหมาะสมกับชุมชนและสิ่งแวดล้อมก็มักจะส่งผลดี
ผมมั่นใจว่าภายในปลายปีนี้ สหรัฐจะผ่านหรือลดวิกฤติของโควิด-19 และเศรษฐกิจจะเริ่มเข้ารูปเข้ารอย เงินที่กำลังสะพัดในตลาดหุ้น แม้ว่าจะมีปัญหาบ้างก็คงแก้ไขได้
สติคือวัคซีนที่จะป้องกันไวรัสแห่งความโลภ ใช้สติเตือนใจให้ยึดหลักการลงทุนที่ดี กระจายความเสี่ยงโดยจัดสัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสม ใช้วิจารณญาณพิจารณาบริษัทในเป้าหมายซึ่งมีวิสัยทัศน์ตรงกับท่าน ไม่ต้องรีบร้อนแต่ขอให้ทิศทางถูกต้อง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันในอนาคตครับ