‘บลจ. กสิกรไทย’ ชูธีมลงทุนปีนี้ นิวนอร์มอล หุ้นจีน-สหรัฐ
บลจ.กสิกรไทย คาดดัชนีหุ้นไทยปีนี้แตะ 1,650 จุดเหตุวัคซีน หนุนเศรษฐกิจโลกฟื้น แต่ระยะสั้น 1-3 เดือนนี้ตลาดผันผวน ถือจังหวะกระจายลงทุนแนะธีม นิวมอร์มอล-ตลาดหุ้นจีน สหรัฐ พร้อมตั้งเป้าปีนี้เอยูเอ็มโต 7% จากปีก่อนที่ 1.4 ล้านล้านบาท
นายวศิน วณิชย์วรนันต์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย)ประเมินดัชนีหุ้นไทยปีนี้มีโอกาสแตะที่ 1,600 จุด และมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปเกินเป้าหมายมุมมองได้ที่ระดับ 1,650 จุด หากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย รวมถึง การเปิดประเทศเริ่มที่เป็นไปได้ในช่วงไตรมาส3 และ4 ของปีนี้
“ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบัน ดัชนีไม่มีโอกาสหลุดที่ระดับ 1,450 จุดแน่นอน แต่หากมีกรณีที่ไม่คาดฝัน เช่น การควบคุมการระบาดของโควิด-19 ไม่ได้หรือแม้แต่มีการระบาดรอบใหม่ ดัชนีก็มีโอกาสปรับตัวลงไปแตะที่กรอบ 1,300-1,350 จุดได้”
นายวศิน เชื่อว่าปีนี้ ‘ตลาดกระทิงมา ถึง เวลาต้องลงทุน’ ปัจจัยสนับสนุน คือ การพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ได้สำเร็จและแจกจ่ายใช้ในหลายประเทศมากขึ้น ประกอบกับ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในแต่ละประเทศ ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัวกลับมาในทิศทางที่ดีขึ้น
สำหรับแนวโน้มเงินลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลค์) ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยในปีนี้ ยังคาดการณ์ยาก ต้องรอดูปัจจัยการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกาเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม หุ้นไทยในระยะสั้นยังมีความผันผวนต่อเนื่องช่วงระยะ 1-3 เดือนนี้ แต่โอกาสหุ้นไทยดาวน์ไซด์มีไม่มาก
ทั้งนี้ แม้ในปีที่ผ่านมาภาพรวมเศรษฐกิจโลกถดถอยเป็นอย่างมาก แต่ตลาดหลักทรัพย์หลายแห่งทั่วโลกได้ปรับตัวสูงขึ้นกว่าเดิม ทำให้ผู้ลงทุนเริ่มสนใจย้ายไปลงทุนในกองทุนต่างประเทศ (FIF)กันมากขึ้น และคาดว่าความสนใจจะมีต่อเนื่องในปีนี้
โดยจะให้น้ำหนักกับ 2 ธีมการลงทุน ได้แก่ 1.ธีมNew Normal การแพร่ระบาดของโควิด-19 เร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนในวงกว้าง 2.ธีมสองมหาอำนาจ สหรัฐฯและจีนต่างมีปัจจัยบวกสนับสนุนเศรษฐกิจในประเทศ โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯยังเป็นแหล่งระดมทุนของบริษัทจดทะเบียนหลากหลายสัญชาติ มีน้ำหนักสูงถึง 46% เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นทั่วโลก ขณะที่ จีนมีข้อได้เปรียบตรงที่เป็นประเทศขนาดใหญ่ และมีการบริโภคภายในประเทศที่ค่อนข้างสูง รวมถึง มีความ เจริญก้าวหน้าทางด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี
สำหรับกองทุนหุ้นไทย ยังคงเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่ม Quality Growth และ High Potential for Recoveryจากความคืบหน้าในการแจกจ่ายวัคซีน ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทยในอนาคต ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย แนะนำให้ผู้ลงทุนก้าวข้ามความผันผวนในระยะสั้น โดยใช้หลักกระจายการลงทุน
“การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยังช่วยหนุนเอเชียรวมถึงไทย โดย หากภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวได้เร็วก็มีโอกาสที่จะได้เห็นกำไรในบริษัทจดทะเบียนของไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดด และทำให้ตลาด สามารถซื้อขายในระดับ Valuation ที่สูงได้
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน เน้นหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มพลังงาน กลุ่มเฮลล์แคร์ กลุ่มท่องเที่ยว และกลุ่มที่เกี่ยวกับการฟื้นตัวเศรษฐกิจไทยและต่างประเทศ เช่น หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค กลุ่มพาณิชย์ และกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์
ส่วนการลงทุนในกองทุนรีท อสังหาริมทรัพย์ และโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ภายในประเทศกลับมาน่าสนใจอีกครั้ง เนื่องจาก ราคาปรับลงไปมากเมื่อช่วงปีที่ผ่านมา และบางกลุ่มได้รับผลกระทบจากโควิด-19 น้อยมาก ทำให้มีรายได้เข้ากองทุนต่อเนื่อง
ขณะที่ ผลตอบแทนจากเงินปันผลปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 6% เชื่อว่า กองทุนดังกล่าวมีการเพิ่มขึ้นหรือจัดตั้งกองทุนใหม่ในสินทรัพย์ต่างๆที่ไม่เกี่ยวกับโรงแรมและห้างสรรพสินค้ามากขึ้น ทำให้นักลงทุนมีทางเลือกมากขึ้นเพื่อรับเงินปันผลในระดับสูง
นายวศิน กล่าวด้วยว่า ในปีนี้ตั้งเป้าธุรกิจเติบโต 7% โดยจะเพิ่มจำนวนลูกค้าผ่านช่องทางดิจิตอลเพิ่มขึ้นอีก 20% รวมถึง การเพิ่มฐานลูกค้าผ่านช่องทางอื่นๆด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ ในช่วงปีที่ผ่านมามีลูกค้าใหม่เข้ามามากถึง 98,000 ราย ส่งผลให้สินทรัพย์ภายใต้การบริหาร(AUM)สิ้นปี 2564 เพิ่มขึ้น7% จากสิ้นปีที่ผ่านมา โดย AUM สิ้นปี 2563 แตะที่ระดับ 1.40 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นธุรกิจกองทุนรวม 1.04 ล้านล้านบาท ธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 1.96 แสนล้านบาท และธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล 1.69แสนล้านบาท
“เรายังคงครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 ในอุตสาหกรรมกองทุนรวม เนื่องจาก บริษัทได้ปรับตัวรองรับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่จะเข้ามาลงทุนมากขึ้น โดยใช้ช่องทางดิจิตอลเป็นหลัก เห็นได้จากจำนวนลูกค้าที่ลงทุนผ่านช่องทางดิจิตอลมีประมาณกว่า 74% จากจำนวนลูกค้าที่มีธุรกรรมทั้งหมดในปีที่ผ่านมา รวมเป็นมูลค่าการซื้อขายกว่า 4.40 แสนล้านบาท”
นางธิดาศิริ ศรีสมิต รองกรรมการผู้จัดการสายงานจัดการลงทุน บลจ.กสิกร กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในปีนี้ เรามองว่า มาตรการเงินการคลังที่กระตุ้นเศรษฐกิจน่าจะมีบทบาทมาก โดยปีนี้จะมีเม็ดเงินที่เหลือจากการออกพ.ร.ก.กู้เงินฉุกเฉินอีกราว 6.5 แสนล้านบาท ขณะที่ เชื่อว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะไม่รุนแรง และวัคซีนสามารถเริ่มแจกจ่ายได้
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยง คือ การเมืองและเสถียรภาพรัฐบาล ถ้าดูจากผลการอภิปรายจะพบว่า รัฐบาลคอนโทรลเสียงข้างมากได้ แต่ที่ห่วง คือ การก่อม็อบ ซึ่งอาจเกิดไม่แน่นอนทางการเมืองได้ อีกปัจจัย คือ ความขัดแย้งระหว่างจีนกับสหรัฐ และ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
นายชัชชัย สฤษดิ์อภิรักษ์ รองกรรมการผู้จัดการสายงานจัดการลงทุน บลจ.กสิกรกล่าวถึงการลงทุนในตราสารหนี้ว่า ในปีที่ผ่านมา ผลตอบแทนของตราสารหนี้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี เพราะอัตราดอกเบี้ยต่ำนาน แต่มุมมองเศรษฐกิจที่เริ่มผงกหัวนั้น จะไม่ค่อยดีกับผลตอบแทนตราสารหนี้เท่าไหร่ เพราะเมื่อเศรษฐกิจดีขึ้นก็มีการออกพันธบัตรมากขึ้น อย่างไรก็ตาม คาดผลตอบแทนตราสารหนี้ระยะยาวจะปรับเพิ่มขึ้น โดยพันธบัตรอายุ 10 ปี จะขยับขึ้นเป็น 1.6% ในปีนี้ และเป็น 2% ในปีหน้า จากปัจจุบันที่ปรับขึ้นมาจาก 1.3% เป็น 1.5% ในระยะ 2 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่ สภาพคล่องส่วนใหญ่จะกองอยู่ที่แบงก์พาณิชย์