CHG - ซื้อ

CHG - ซื้อ

แนวโน้มการเติบโตปีนี้ดูน่าตื่นเต้นมากขึ้น

Event

ประชุมนักวิเคราะห์, ปรับเพิ่มประมาณการกำไรและขยับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 2565

lmpact

แนวโน้มเป็นบวกจากธุรกิจใหม่

เรามองบวกกับแนวโน้มผลประกอบการของ CHG ในปี 2564F เนื่องจากเราคาดว่าผลการดำเนินงานจะแข็งแกร่งขึ้น YoY หลังจากที่กำไรออกมาน่าประทับใจในปี 2563 แม้จะเป็นช่วงที่ COVID-19 ระบาดก็ตาม ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจในปี 2564 ได้แก่

         i) จะมีรายได้ส่วนเพิ่มจากสองโครงการใหม่ i) ค่าบริหารจัดการโรงพยาบาลของรัฐที่พัทยาและเกาะล้าน (เริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ต้นปี 2564) และ ii) ค่าบริหารจัดการศูนย์หัวใจสิรินธร (เริ่มจาก 2Q64) โดยโครงการแรกจะสร้างรายได้ประมาณเดือนละ 25 ล้านบาท (เป็นเวลา 2 ปี) ในขณะที่โครงการที่สองจะสร้างรายได้รวม 450 ล้านบาท (กรอบเวลาที่อ้างอิงตามสัญญากำหนดกรอบเวลา 3 ปี) ทั้งนี้ เราคาดว่าสองโครงการนี้จะสร้างรายได้ให้กับ CHG คิดเป็น
มูลค่ารวม 413 ล้านบาทในปี 2564F

         ii) พัฒนาการด้านบวกของโรงพยาบาลแห่งใหม่ เราคิดว่า CHG จะยังคงได้อานิสงส์จากโรงพยาบาลจุฬารัตน์ 304 และรวมแพทย์ ฉะเชิงเทรา ซึ่งผ่านจุดคุ้มทุนในระดับ EBITDA ไปแล้วใน 2H63 ซึ่งเมื่ออิงตามประมาณการของเรา โรงพยาบาลสองแห่งนี้น่าจะถึงจุดคุ้มทุนได้ในปี 2564F จากที่ขาดทุนสุทธิ 70 ล้านบาทในปี 2563

ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2564 ขึ้นจากเดิมอีก 12.3%

เราคาดว่ารายได้ของ CHG จะโต 13.8% YoY (6.1% จากธุรกิจโรงพยาบาลที่เปิดดำเนินการอยู่ และอีก 7.6% จากโครงการใหม่ ๆ) ในปี 2564F นอกจากนี้ เราคาดว่าโครงการใหม่ ๆ จะช่วยหนุนให้อัตรากำไรของ CHG เพิ่มขึ้น เพราะรายได้จากการบริหารจะมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่าธุรกิจเดิมของบริษัท ทั้งนี้ CHG ไม่ต้องบันทึกค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่าย SG&A ก็ลดลงภายใต้ platform ธุรกิจแบบนี้ ดังนั้น เราจึงปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2564 ขึ้นอีก 12.3% เป็น 1.02 พันล้านบาท (+16.5% YoY) สะท้อนถึง i) ยอดขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่องที่ 13.8% YoY ii) อัตรากำไรขั้นต้นที่ฟื้นตัวขึ้น YoY เป็น 33.0%(จาก 32.2% ในปี 2563) และ iii) สัดส่วน SG&A/ยอดขายที่คุมไว้ได้ที่ 12.9% (จากประมาณการเดิมที่ 13.5%)

Valuation & Action

เรายังคงชอบ CHG เนื่องจาก i) กำไรปีนี้มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องประมาณ 16.5% CAGR ในช่วงปี 2564-65F และ ii) ROE ปี 2563 สูงถึง 20.9% อีกทั้งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 22.1% และ 23.1% ในช่วงปี 2564-65F ดังนั้น เราจึงยังคงคำแนะนำ ซื้อ และขยับไปใช้ราคาเป้าหมาย DCF ปี 2565 ที่ 3.25 บาท (ใช้ WACC ที่ 7.9% และ TG ที่ 3.0%) จากราคาเป้าหมายเดิมของปี 2564 ที่ 3.05 บาท

Risks

COVID-19 ระบาด, เศรษฐกิจชะลอตัวลง และเกิดปัญหาเสถียรภาพทางการเมืองไทยรอบใหม่