'ทีพีไอพีพี' มั่นใจปี 64 รายได้ 1.2 หมื่นล้าน ลุ้นอัพไซด์ค่าขายไฟปรับขึ้น
"ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์" เผยแผนปี 64 กำเงินลงทุนโรงไฟฟ้าใหม่ 2.8 พันล้านบาท หนุนรายได้เติบโตแตะระดับ 1.2 หมื่นล้านบาท ตอบคำถามผู้ถือหุ้นปันผลปี 63 ลดลงจากการแบ่งเงินทุนโครงการใหม่ ลั่นนโยบายยังจ่าย 50% ของกำไรสุทธิ
นายภัคพล เลี่ยวไพรัตน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2564 บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้เติบโตราว 13% มาอยู่ที่ 1.2 หมื่นล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้ 1.05 หมื่นล้านบาท สอดคล้องกับเป้าหมายการขายไฟฟ้าที่คาดว่าจะเติบโต 16% มาอยู่ที่ 2,531 ล้านหน่วย จากปีก่อนอยู่ที่ 2,174 ล้านหน่วย โดยเฉพาะจำนวนหน่วยการผลิตให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่จะเพิ่มขึ้นอีก 100 ล้านหน่วย
นอกจากนี้ คาดว่าอัตราค่าไฟฟ้า (FT) ที่ปรับตัวลงในปีก่อนจะไม่มีความเสี่ยงปรับลงต่อในปีนี้ ในทางกลับกัน ค่าไฟฟ้ามีโอกาสปรับขึ้นตามทิศทางราคาเชื้อเพลิงที่ปรับขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทฯ มีโอกาสปรับขึ้นมากกว่าที่ประเมินไว้ จากปัจจุบันยังไม่ได้รวมทิศทางค่าไฟที่เป็นขาขึ้นเข้าไปในคาดการณ์
ขณะที่การลงทุนใหม่ในปีนี้ ตั้งงบลงทุนรวม 2,000-2,800 ล้านบาท โดยจะลงทุนโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะ (RDF) ให้แก่ บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) หรือ TPIPL บริษัทแม่ งบลงทุน 1,000 ล้านบาท โดยคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้ให้บริษัทฯ ราว 350-450 ล้านบาทต่อปี
ถัดมาเป็นการประมูลโครงการเพิ่มเติมในปีนี้ประมาณ 10 โครงการ ปัจจุบันทราบผลการประมูลโครงการโรงไฟฟ้าขยะชุมชนในจังหวัดสงขลาแล้ว 1 โครงการ กำลังการผลิต 12 เมกะวัตต์ คาดว่าจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ในปี 2566 ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าขยะชุมชนในจังหวัดนครราชสีมาอีก 1 โครงการ อยู่ระหว่างรอการประกาศผลผู้ชนะการประมูล
และสุดท้ายโครงการโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะในจังหวัดสระบุรี อยู่ระหว่างยื่นขออนุญาตเพื่อขายไฟฟ้า คาดว่าจะดำเนินแล้วเสร็จในปี 2565 งบลงทุนไม่เกิน 500 ล้านบาท
ส่วนเป้าหมายในระยะข้างหน้า ตั้งเป้ากำลังการผลิตไฟฟ้าแตะ 582 เมกะวัตต์ ภายในปี 2568 โดยคาดว่าจะเป็นการเติบโตจากกำลังการผลิตไฟฟ้าเพื่อขายให้ กฟผ.จำนวน 319 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันอยู่ที่ 163 เมกะวัตต์ และอีกส่วนมาจากกำลังการผลิตไฟฟ้าให้แก่บริษัทแม่ 190 เมกะวัตต์ ลดลงจากปัจจุบันที่อยู่ที่ 260 เมกะวัตต์
"สำหรับการจ่ายเงินปันผล นโยบายของเราคือไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิในปีนั้นๆ แต่ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการใช้เงิน อย่างในปี 2563 ที่จ่ายในอัตราที่ลดลง เพราะต้องใช้เงินลงทุนในโครงการสงขลาและโคราช แต่อัตราเงินปันผล (Dividend Yield) ของเราก็ยังสูงประมาณ 6%" นายภัคพล กล่าว