ศิริปันนากรุ๊ปพลิกกลยุทธ์ รุกคอนโดโลว์ไรส์กรุงเทพฯ
ศิริปันนากรุ๊ป ลดความเสี่ยงหลังโควิดพ่นพิษธุรกิจโรงแรมเชียงใหม่วูบหนัก เบนเข็มลงทุนกรุงเทพฯ ลุยคอนโดโลว์ไรส์ “วันเดอร์ เกษตร”
นายศุภมิตร กิจจาพิพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอกภูมิทรัพย์ ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด ในเครือศิริปันนากรุ๊ป เปิดเผยว่า ช่วงที่เกิดวิกฤติโควิด-19 โรงแรมทั้ง 3 แห่ง ซึ่งประกอบด้วยโรงแรมศิริปันนา วิลล่า รีสอร์ท แอนด์ สปา ,โรงแรมศิริปันนา แกลอรี เชียงใหม่ และโรงแรมเอส ลอฟ เชียงใหม่ ได้รับผลกระทบเพราะต้องปิดให้บริการตามคำสั่งของรัฐบาลช่วงที่มีการประกาศล็อกดาวน์ประเทศตั้งแต่เดือนเมษายนและเพิ่งกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งช่วงเดือนสิงหาคมปีที่ผ่านมา ทำให้ตัดสินใจที่จะขยายพอร์ตการลงทุนจากธุรกิจโรงแรมที่อยู่ในจ.เชียงใหม่เข้ามาลงทุนตลาดคอนโดในกรุงเทพฯ ครั้งแรกช่วงปลายปี 2563 ที่ผ่านมา
ด้วยการเปิดตัวโครงการ วันเดอร์ เกษตร (ONEDER KASET)มูลค่ากว่า 1,400 ล้านบาท ย่านงามวงศ์วาน เป็นอาคารโลว์ไรส์ 8 ชั้นจำนวน 3 อาคาร จำนวนห้อง585 ยูนิต หลังจากเปิดรอบ VVIP ปลายปีที่ผ่านมามียอดจองเข้ากว่า 40% สวนกระแสตลาดคอนโดขาลงท่ามกลางวิกฤติโควิด
“สาเหตุที่ขยายฐานการลงทุนเข้ามาในกรุงเทพฯ เนื่องจากต้องการขยายพอร์ตการลงทุนของกลุ่มศิริปันนากรุ๊ปให้กว้างขึ้นและสร้างฐานกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ โดยมองว่ากรุงเทพฯมีกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายทั้งอายุและอาชีพเมื่อเทียบกับฐานลูกค้าในต่างจังหวัดที่มีจำกัด ขณะเดียวกันกรุงเทพฯ ยังเป็นเมืองหลวงและเป็นแหล่งงานขนาดใหญ่ มีจำนวนประชากรที่ใช้ชีวิตหมุนเวียนมากกว่าจังหวัดอื่นซึ่งเป็นโอกาสที่ดีของการเข้ามาลงทุน”
นายศุภมิตร กล่าวว่า กลุ่มลูกค้าหลักของโครงการจะเป็นกลุ่มเรียลดีมานด์ที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัย และกลุ่มนักลงทุนเพื่อปล่อยเช่า เนื่องจากในรัศมีโดยรอบโครงการเป็นที่ตั้งของหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และโรงพยายาล มีทั้งการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค,มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์, นอร์ธปาร์ค, โรงพยาบาลวิภาวดี และศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ โดยมีราคาขายเริ่มต้นห้องละ 1.59 ล้านบาท หรือเฉลี่ยตารางเมตรละ 9 หมื่นกว่าบาท ถือเป็นราคาที่ตอบโจทย์ลูกค้าเมื่อเทียบกับคอนโดที่อยู่ในย่านใกล้เคียงกัน ทำให้กลุ่มคนทำงานประจำหรืออาชีพอิสระที่มีรายได้ประมาณ 30,000 บาทขึ้นไปสามารถซื้อและเป็นเจ้าของได้ง่าย
“ที่ดินแปลงนี้เดิมวางแผนจะพัฒนาเป็นคอนโดไฮไรส์ เพราะตำแหน่งที่ตั้งของโครงการอยู่ติดถนนใหญ่งามวงศ์วานสามารถพัฒนาเป็นตึกสูงได้ และที่สำคัญได้ผ่านการอนุมัติจากบอร์ดอีไอเอเรียบร้อยแล้ว แต่บริษัทได้ปรับมาเป็นอาคารโลว์ไรส์แทน เพราะมองว่ากลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นเรียลดีมานด์ที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง หากพัฒนาเป็นตึกไฮไรส์อาจจะไม่ตอบโจทย์ของลูกค้ากลุ่มนี้”
ทั้งนี้ บริษัทต้องการสร้างดีเอ็นเอของแบรนด์ศิริปันนาให้เป็นที่รู้จักของลูกค้ากลุ่มใหม่ ที่มีจุดขายเกี่ยวกับพื้นที่สวนส่วนกลางขนาดใหญ่และความร่มรื่นของโครงการ ดังนั้นบริษัทจึงได้ปรับผังโครงการใหม่เป็นตึกโลว์ไรส์ 8 ชั้น และเพิ่มพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่เกือบ 2 ไร่ กระจายอยู่รอบโครงการ โดยเฉพาะพื้นที่สวนขนาด 1 ไร่ที่อยู่ตรงกลางระหว่างอาคารทั้ง3ตึก ทำให้ได้รับกระแสตอบรับดี สามารถมียอดจองกว่า 40%