SCN มั่นใจโรงไฟฟ้าเมียนมาไร้ผลกระทบรัฐประหาร ดันผลประกอบการปี 64 แกร่ง
SCN มั่นใจ โรงไฟฟ้าเมียนมาไร้ผลกระทบจากรัฐประหาร หลังได้รับค่าไฟจากภาครัฐเมียนมาครบถ้วน ดันผลประกอบการปี 64 แกร่ง
บริษัท สแกน อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCN ยืนยันหนักแน่นรัฐประหารไม่มีผล ‘GEP’ ยังคงรับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้ามินบูตามปกติและได้รับชำระค่าไฟเต็มจำนวนจากการจำหน่ายไฟฟ้าให้กับเมียนมา ตอกย้ำว่าทางเมียนมายังคงต้องการใช้ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง
โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มินบู ประเทศสาธารณรัฐสหภาพเมียนมา ขนาดกำลังการผลิตติดตั้งรวม 220 เมกะวัตต์ (MW) เป็นโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่เกิดจากความร่วมมือของ 4 บริษัทยักษ์ใหญ่ในประเทศไทย ได้แก่
บริษัท สแกน อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCN , บจก.อีซีเอฟ พาวเวอร์ ในฐานะบริษัทย่อยของ บริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค จำกัด (มหาชน) หรือ ECF ,บริษัท เมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ META และบริษัท Noble Planet PTE. Ltd. หรือ NP ร่วมลงทุนในนาม บริษัท กรีนเอิร์ธ พาวเวอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด (GEP) โดยเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) จากโครงการเฟสที่ 1 ขนาด 50 เมกะวัตต์ (MW) แล้วตั้งแต่วันที่ 27 กันยายน 2562 และได้รับรายชำระค่าไฟจากกระทรวงไฟฟ้าและพลังงานเมียนมา (Ministry of Electricity and Energy : MOEE) มาอย่างต่อเนื่อง
ช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา เกิดกระแสความกังวลจากเหตุการณ์รัฐประหารและเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองในประเทศเมียนมา ต่อธุรกิจที่เข้าไปดำเนินการอยู่ในประเทศ ซึ่งสร้างความกังวลใจให้กับหลายฝ่ายไม่น้อย
ดร.ฤทธี กิจพิพิธ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สแกน อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ ของ GEP เปิดเผยว่า โครงการโรงไฟฟ้ามินบูไร้ความกังวลต่อสถานการณ์รัฐประหารที่ล่วงเลยมากว่า 2 เดือน เนื่องจากเรายังคงได้รับการชำระค่าไฟจากรัฐบาลอย่างต่อเนื่องและตรงตามกำหนด
โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2564 บริษัทได้รับการจ่ายชำระค่าไฟเต็มจำนวนแล้ว ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าโครงการมินบูไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด ด้วยธุรกิจที่บริษัทเข้าไปลงทุนคือ โรงไฟฟ้า ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการพัฒนาประเทศและการดำเนินชีวิต ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ช่วยยืนยันได้ว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าจะไม่ลดลง
ทั้งนี้ ยังเพิ่มความมั่นใจด้วยการเร่งดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้ามินบูเฟส 2-4 ต่อ ตามแผนเดิมที่วางไว้ คาดว่าโครงการเฟส 2 จะแล้วเสร็จพร้อมจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้ภายในสิ้นปี 2564 ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลให้ SCN รับรู้กำไรเพิ่มขึ้นตามสัดส่วนการลงทุน