ธนาคารโลกเตือนเศรษฐกิจฟื้นตัวไม่เท่ากัน เพิ่มความเหลื่อมล้ำเอเชีย
ธนาคารโลก เผยรายงานเศรษฐกิจเอเชียตะวันออก-แปซิฟิก เดือน เม.ย. หวั่นการฟื้นตัวที่ไม่เท่ากัน ส่งผลให้ความเหลื่อมล้ำเพิ่มขึ้น คาดเศรษฐกิจภูมิภาคโตแตะ 7.6% ในปีนี้ จีนโตสูงสุด 8.1% แต่ประเทศส่วนใหญ่โตเฉลี่ยเพียง 4.6%
ธนาคารโลก เปิดเผยรายงานตามติดเศรษฐกิจเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก เม.ย.2564 ภายใต้หัวข้อเรื่อง "การฟื้นตัวที่ไม่เท่ากัน" ว่า กว่าหนึ่งปีที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกต่างฟื้นตัวได้ไม่เท่ากันอย่างเห็นได้ชัด ธนาคารโลกเผยในรายงานตามติดเศรษฐกิจของภูมิภาคฉบับล่าสุดที่เผยแพร่ในวันนี้
มีเพียงจีนและเวียดนามเท่านั้นที่มีการฟื้นตัวเป็นรูปตัววี โดยขณะนี้มีผลผลิตสูงกว่าระดับก่อนโควิด-19 แล้ว เศรษฐกิจของประเทศสำคัญอื่นๆ ในภูมิภาค ผลผลิตยังคงอยู่ต่ำกว่าระดับก่อนการแพร่ระบาดราว 5% โดยเฉลี่ย ประเทศที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดคือประเทศหมู่เกาะแปซิฟิก ศักยภาพทางเศรษฐกิจยังคงขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพในการจำกัดการแพร่ระบาดของไวรัส ความสามารถในการคว้าโอกาสจากการฟื้นตัวของการค้าระหว่างประเทศ และศักยภาพของรัฐบาลในการให้ความสนับสนุนทางด้านงบประมาณและการเงิน
ในปี 2563 ความยากจนในภูมิภาคไม่ลดลงเป็นครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษ ประมาณ 32 ล้านคนในภูมิภาคไม่สามารถออกจากความยากจนได้ (เส้นความยากจน 5.50 ดอลลาร์ต่อวัน) เนื่องจากการแพร่ระบาด
“การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ทำให้การลดความยากจนต้องหยุดชะงักไปและความเหลื่อมล้ำเพิ่มสูงขึ้น” วิคตอเรีย ควาควา รองประธานธนาคารโลกประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก กล่าว
“ขณะที่เริ่มมีการฟื้นตัวในปี 2564 ประเทศต่างๆ มีความจำเป็นต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อคุ้มครองกลุ่มประชากรที่อยู่ในภาวะเสี่ยงหรือเปราะบางและดูแลให้เกิดการฟื้นฟูที่ครอบคลุม คำนึงถึงสภาพแวดล้อม และพร้อมรับมือและปรับตัวกับอุปสรรคใหม่ที่เข้ามา”
ความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มสูงขึ้น เป็นผลจากการแพร่ระบาด การล็อคดาวน์ ตลอดจนการเข้าถึงความช่วยเหลือทางสังคมและเทคโนโลยีดิจิทัลที่ไม่เท่าเทียมในบางประเทศ เด็กในครอบครัวที่อยู่ในส่วนล่างสุดสองในห้าของการกระจายรายได้มีโอกาสที่จะได้เรียนรู้น้อยกว่าเด็กในครอบครัวที่อยู่ในส่วนสูงสุดหนึ่งในห้าถึง 20% ผู้หญิงต้องเผชิญความรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม โดย 25% ของผู้ตอบแบบสอบถามในลาวและ 83% ในอินโดนีเซียระบุว่าความรุนแรงจากคนใกล้ชิดมีสภาพเลวร้ายลงเนื่องจากโควิด-19
การเติบโตของภูมิภาคคาดว่าจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดจาก 1.2% ในปี 2563 เป็น 7.6% ในปี 2564 แต่ก็มีแนวโน้มที่การฟื้นตัวจะดำเนินไปด้วยความเร็วที่แตกต่างกันสามระดับ จีนและเวียดนามคาดว่าจะเติบโตมากขึ้นไปอีกในปี 2564 คือ 8.1% และ 6.6% ตามลำดับ จาก 2.3% และ 2.9% ในปี 2563 เศรษฐกิจของประเทศขนาดใหญ่อื่นๆ ในภูมิภาคที่บอบช้ำจากวิกฤตมากกว่า จะเติบโตประมาณ 4.6% โดยเฉลี่ย ซึ่งช้ากว่าอัตราการเติบโตก่อนวิกฤตเล็กน้อย การฟื้นตัวคาดว่าจะใช้เวลานานในประเทศหมู่เกาะที่พึ่งการท่องเที่ยว
รายงานฉบับนี้คาดว่าโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะสามารถเพิ่มการเติบโตของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคได้ถึง 1 จุดร้อยละโดยเฉลี่ยในปี 2564 และเร่งการฟื้นตัวให้เร็วขึ้นได้ประมาณสามเดือนโดยเฉลี่ย ความเสี่ยงในการณ์นี้อยู่ที่ความล่าช้าในการกระจายวัคซีนที่อาจฉุดการเติบโตได้ถึง 1 จุดร้อยละในบางประเทศ
รายงานยังเสนอให้มีการดำเนินการเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาด พยุงเศรษฐกิจ และช่วยให้เกิดการฟื้นตัวโดยคำนึงถึงสภาพแวดล้อม และระบุว่าปริมาณและการจัดสรรวัคซีนในปัจจุบันจะทำให้ประเทศที่พัฒนาแล้วจะมีวัคซีนครอบคลุมประชากรมากกว่า 80% ภายในสิ้นปี 2564 ขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาจะครอบคลุมได้เพียง 55% ของประชากรเท่านั้น หลายประเทศในเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก การให้ความช่วยเหลือบรรเทาไม่พอกับรายได้ที่สูญเสียไป การกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ได้ช่วยเยียวยาอุปสงค์หรือความต้องการที่ขาดหายไปได้อย่างเต็มที่ และการลงทุนภาครัฐไม่ได้เป็นส่วนสำคัญของความพยายามฟื้นฟูเศรษฐกิจ
ขณะที่หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยถึง 7 จุดร้อยละของ GDP และมาตรการ “สีเขียว” ถูกแซงหน้าโดยกิจกรรม “สีน้ำตาล” ในแผนกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ทั่วภูมิภาค โดยเฉลี่ยแล้วมาตรการฟื้นฟูของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคมีเพียงหนึ่งในสี่เท่านั้นที่เป็นมิตรกับสภาพภูมิอากาศ
“ความร่วมมือระหว่างประเทศเป็นสิ่งจำเป็นมากกว่าครั้งใดๆ เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาด พยุงเศรษฐกิจ และฟื้นตัวโดยคำนึงถึงสภาพแวดล้อม” อาดิตยา แม็ททู หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารโลกประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก กล่าว
“จีนสามารถมีบทบาทสำคัญด้วยการส่งออกผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์มากขึ้น กระตุ้นการบริโภค และดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศที่หนักแน่นมากขึ้น และจีนเองก็จะได้รับประโยชน์จากโลกที่ปลอดภัยขึ้นและการเติบโตที่สมดุลมากขึ้นด้วย”
นอกจากนี้รายงานฉบับนี้ยังเสนอแนะให้สร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในการผลิตและรับรองวัคซีนตลอดจนการจัดสรรโดยยึดตามความจำเป็นเพื่อช่วยยับยั้งการแพร่ระบาด การประสานงานด้านการคลังจะสามารถขยายผลรวมหมู่ได้เนื่องจากรัฐบาลบางประเทศมีแนวโน้มที่จะออกมาตรการกระตุ้นน้อยกว่าระดับที่เหมาะสม และนอกจากการร่วมมือกันในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแล้ว ความช่วยเหลือระหว่างประเทศจะช่วยให้ประเทศกำลังพัฒนาที่ยากจนกว่าสามารถดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศได้เต็มที่มากขึ้นอีกด้วย
รายงาน การฟื้นตัวที่ไม่เท่ากัน โฟกัสที่การฉีดวัคซีน นโยบายทางการคลังและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สืบเนื่องต่อจากรายงานตามติดเศรษฐกิจในภูมิภาคสองฉบับในปี 2563 ที่พิจารณานโยบายด้านอื่นๆ หกด้านเกี่ยวกับการฟื้นฟูอย่างยืดหยุ่นจากการแพร่ระบาด นั่นคือ การจัดการโควิด-19 อย่างฉลาด การจัดการศึกษาอย่างฉลาด การเพิ่มความคุ้มครองทางสังคม ความช่วยเหลือสำหรับกิจการต่างๆ นโยบายภาคการเงินที่สมดุล การปฏิรูปการค้า