‘เงินบาท’วันนี้เปิด ‘อ่อนค่า’ที่31.17 บาทต่อดอลลาร์
ตลาดการเงินยังระวังตัวและรอปัจจัยใหม่ จับตาแนวโน้มการแจกจ่ายวัคซีน และการแพร่ระบาดโควิด-19 มีผลต่อความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติและทิศทางฟันด์โฟลว์ต่างชาติฝั่งหุ้นไทย เป็นปัจจัยสำคัญช่วยกำหนดทิศทางเงินบาทในช่วงครึ่งหลังปีนี้ได้ คาดวันนี้เงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 31.15-31.25บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงินธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 31.17 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงเล็กน้อยจากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 31.15 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.15-31.25 บาทต่อดอลลาร์
สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทอาจมีแนวโน้มอ่อนค่าลงเล็กน้อยในช่วงเช้า ตามการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ แต่เงินบาทก็อาจกลับมาแข็งค่าขึ้นได้จากแรงซื้อหุ้นและบอนด์สุทธิจากนักลงทุนต่างชาติ ทำให้
เราคงมองว่า เงินบาทยังคงมีแนวโน้มทรงตัวในกรอบ 31.10 - 31.30 บาทต่อดอลลาร์ เพราะ หากเงินบาทอ่อนค่าลงตามการแข็งค่าของ เงินดอลลาร์ ก็อาจเผชิญแรงซื้อจากฝั่งผู้ส่งออกที่รอทยอยขายเงินดอลลาร์ ทำให้เงินบาทยังไม่สามารถอ่อนค่าไปมากกว่า ระดับ 31.30 บาทต่อดอลลาร์ได้
นอกจากนี้ ในระยะสั้น นักลงทุนต่างชาติก็เริ่มเข้ามาซื้อสินทรัพย์ไทยสุทธิ ช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น ตามความหวังการการแจกจ่ายวัคซีนในไทย
อย่างไรก็ดี เรามองว่า ควรติดตามแนวโน้มการแจกจ่ายวัคซีน และ สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ซึ่งจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติและทิศทางฟันด์โฟลว์ต่างชาติในฝั่งหุ้นไทยได้ และอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยกำหนดทิศทางของเงินบาทในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ได้
ตลาดการเงินโดยรวมยังคงอยู่ในภาวะระมัดระวังตัว เนื่องจากผู้เล่นส่วนใหญ่ต่างรอคอรายงานข้อมูลเงินเฟ้อสหรัฐฯในวันนี้ รวมถึงผลการประชุม FOMC ในสัปดาห์หน้า สะท้อนผ่านการที่ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ติดแนวต้านและเผชิญแรงขายทำกำไรต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังได้รับแรงหนุนจากหุ้นในกลุ่มเทคฯ ที่ปรับตัวขึ้นมาเล็กน้อย โดยเฉพาะหุ้นเทคฯขนาดใหญ่ อย่าง Apple +0.31%, Amazon +0.52% และ Microsoft +0.40% หลังจากที่ บอนด์ยีลด์10ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงกว่า 4bps สู่ระดับ 1.49% ทำให้ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวลงเพียง -0.09% ขณะที่ ดัชนีS&P500 และ ดัชนี Dowjones ปิดลบกว่า -0.18% และ -0.44% ตามลำดับ จากแรงเทขายหุ้นในกลุ่มการเงินเป็นหลัก(JPM -1.25%) หลังตลาดมองว่า บอนด์ยีลด์ที่ปรับตัวลดลง อาจกดดัน Net Interest Margin (NIM) ของบริษัทการเงินได้
ส่วนในฝั่งยุโรป แม้ว่าตลาดหุ้นยุโรปจะเผชิญแรงเทขายหุ้นกลุ่มการเงินเช่นเดียวกับในฝั่งสหรัฐฯ (ING -1.5%, BNP -0.8%) แต่โดยรวม หุ้นในกลุ่มเทคฯ ก็สามารถพยุงตลาดไว้ได้ (Amadeus +3.6%, Adyen +1.4%, ASML +1.0%) ทำให้ ดัชนี STOXX50 ของยุโรป ปรับตัวขึ้นราว 0.02%
ทางด้านตลาดบอนด์ เห็นได้ชัดว่า ผู้เล่นส่วนใหญ่อาจไม่ได้กังวลต่อปัญหาการเร่งตัวขึ้นของเงินเฟ้อมากนัก และมองว่า เฟดก็น่าจะคงมุมมองเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นชั่วคราวต่อไปในการประชุมที่จะถึงนี้ ประกอบกับ ผลการประชุมบอนด์ระยะยาวที่ออกมาดีเกินคาด ทำให้ ผู้เล่นในตลาดกล้าที่จะเพิ่มสถานะถือครอง บอนด์ระยะยาว ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10ปีสหรัฐฯ ปรับตัวลงกว่า 4bps สู่ระดับ 1.49%
นอกจากนี้ แรงซื้อบอนด์ ยังมาจากการปิดสถานะ Short บอนด์ระยะยาว(Short covering) หลังจากในตอนแรกตลาดกลัวว่าเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้น อาจทำให้เฟดปรับลดคิวอีได้ไวและกดดันให้บอนด์ยีลด์อาจพุ่งขึ้น
พี่สำหรับวันนี้ เรามองว่า ตลาดการเงินจะอยู่ในภาวะระมัดระวังตัวและผู้เล่นบางส่วนก็อาจเดินหน้าขายทำกำไรสินทรัพย์เสี่ยง พร้อมกับเพิ่มสถานะการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย อย่าง เงินดอลลาร์ เพื่อเตรียมรับมือกับรายงานข้อมูลเงินเฟ้อในวันพฤหัสฯ ที่อาจสร้างความผันผวนให้กับตลาดการเงินในระยะสั้นได้
โดยเรามองว่า การปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯ กว่า 4bps สู่ระดับ 1.49% ก่อนรายงานตัวเลขเงินเฟ้อ (CPI) อาจนำไปสู่ความผันผวนในตลาดการเงินได้ หากเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นมากกว่าที่ตลาดประเมินไว้ที่ระดับ 4.7% อาทิ เช่น เงินเฟ้อทั่วไป เร่งตัวขึ้นมากกว่า 5% ก็อาจสร้างความกังวลเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น รวมถึงความกังวลว่าเฟดอาจลดการอัดฉีดสภาพคล่องไวขึ้นทำให้ ผู้เล่นในตลาดบอนด์อาจกลับมาขายทำกำไรและลดสถานะถือครองบอนด์สหรัฐฯ 10ปี ลง ซึ่งจะส่งผลให้ ยีลด์10ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นได้
ขณะที่ หากเงินเฟ้อออกมาต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ หรือ สูงกว่าคาดเล็กน้อย ก็อาจทำให้ตลาดไม่ได้กังวลปัญหาเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น ซึ่งภาพดังกล่าว จะทำให้ บอนด์ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯ สามารถแกว่งตัวในกรอบระดับ 1.50% ได้ต่อ และตลาดก็อาจเริ่มกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มเทคฯ เติบโตสูง ที่น่าจะเริ่มกลับมาปรับตัวขึ้นได้ดีขึ้น
และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเงินเฟ้อในฝั่งสหรัฐฯ ตลาดจะติดตามผลการประชุมของธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยเรามองว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะยังคงใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อไป ทั้งคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อาทิ Deposit Facility Rate ที่ระดับ 0.50% พร้อมกับเดินหน้าซื้อสินทรัพย์อย่างน้อย 8.5 หมื่นล้านยูโร ต่อเดือน เพื่อช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวเศรษฐกิจ