กรอ.พาณิชย์ลุยแก้ 6 เรื่อง เปิดทางส่งออกเพิ่ม
“จุรินทร์ นำ กรอ.พาณิชย์ เคาะ 6 เรื่อง เอกชนพอใจ "ตู้คอนเทนเนอร์พอใช้" สั่ง SME ส่งออก รวมตัว ทำสัญญา "ลดค่าระวางเรือ" พร้อมช่วยผ่อนปรน เงื่อนไข "จับคู่กู้เงิน" เผย ไตรมาส 3 เตรียมชงครม.ไฟเขียวทำเอฟทีเอไทย-อียู มั่นใจ ส่งออกมิ.ย.โต เลข 2 หลัก"
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน ด้านการพาณิชย์ (กรอ.พาณิชย์) ว่าที่ประชุมได้มีการหารือถึงการส่งออก ปัญหาและอุปสรรค โดยเห็นตรงกันว่าการส่งออกเป็นตัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ปัจจุบันตัวเลขการส่งออกจนถึงปัจจุบันถือว่าดีมากล่าสุดเดือนพ.ค.ตัวเลขการส่งออกขยายตัวถึง 41.59% และคาดว่าในเดือนมิ.ย.จะยังบวกอยู่ด้วยตัวเลขสองหลัก ซึ่งการที่ตัวเลขการส่งออกของไทยยังขยายตัวในอัตราดีกว่าหลายประเทศส่วนหนึ่งเกิดจากการทำงานร่วมกันอย่างหนักภายใต้ กรอ.พาณิชย์
ที่ประชุมวันนี้มีข้อสรุป 6 เรื่องคือ 1. ปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์และค่าระวางเรือที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งการท่าเรือแห่งประเทศได้รายงานถึงสถานการณ์ตัวเลขตู้คอนเทนเนอร์ทั้งนำเข้าและส่งออก ที่ขณะนี้เข้าสู่สภาวะสมดุลแล้วโดย ตัวเลขนำเข้าตู้คอนเทนเนอร์ ตั้งแต่เดือนม.ค.-พ.ค.มีจำนวน 2,200,000 TEU ส่งออก 2,000,000 TEU ยังมีตู้เหลืออยู่ประมาณ 200,000 TEUที่สามารถใช้ได้ แต่เนื่องจากในภาคปฏิบัติจริงจำนวนหนึ่งต้องรอขั้นตอนในการนำสินค้าออกทำให้ตู้ไม่ว่าง และภาคเอกชนบางส่วนเคลียร์ตู้ ทำให้บางช่วงตู้ขาดแคลนในบางช่วงเวลา ดังนั้นควรมีมาตรการสร้างแรงจูงใจให้เรือขนาดใหญ่เข้ามาเทียบท่าที่แหลมฉบังมากขึ้น โดยควรเปิดโอกาสให้สามารถถ่ายลำระหว่างทางไปยังประเทศอื่นได้ด้วย จึงมอบหมายให้ปลัดกระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงคมนาคมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคเอกชนหารือร่วมกันเพื่อกำหนดมาตรการ
ส่วนค่าระวางเรือที่สูงขึ้นนั้นเป็นไปตามตามกลไกราคาในตลาดแต่อยากให้มีการลดค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่ม ได้มอบให้ปลัดกระทรวงพาณิชย์หารือกับภาคเอกชนต่อไปว่ามีส่วนใดสามารถช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายส่วนนี้ให้กับภาคเอกชนได้ นอกจากนี้ที่ประชุมสนับสนุนให้ SMEs ส่งออกซึ่งมีอยู่ 30,000 รายทั่วประเทศ บางส่วนรวมตัวกันทำสัญญาล่วงหน้ากับสายการเดินเรือเพื่อมีหลักประกันในเรื่องค่าระวางและจะได้มีตู้แน่นอน จะทำให้ได้เงื่อนไขที่ดีขึ้นมีหลักประกันว่าราคาจะไม่แพงและมีตู้ให้ส่งออกรวมกันได้เรียกว่า service contract
2.เรื่องการเปิดด่าน ปัจจุบันเรามีด่านรอบประเทศทั้งหมด 97 ด่านเปิดให้ส่งสินค้าเข้าออกได้ 46 ด่าน ภาคเอกชนอยากเห็นการเปิดเพิ่มอีก 11 ด่าน ล่าสุดด่านปากแซง อ.นาตาล ตนได้ประชุมเร่งรัดด้วยตนเองแล้ว ล่าสุดผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลประชุมร่วมกับเจ้าแขวงสะหวันนะเขตได้ลงนาม MOU ร่วมกันว่าจะทำการเปิดด่านโดยเร็ว อนุญาตเฉพาะสินค้าข้ามแดน จะเร่งกำหนดรายการสินค้าและปริมาณสินค้าเข้าส่งออกระหว่างชายแดน จากนั้นจะนำสู่ภาคปฏิบัติต่อไป ด่านที่เหลือได้มอบหมายให้กรมการค้าต่างประเทศเชิญผู้เกี่ยวข้องมาประชุมที่กระทรวงพาณิชย์เพื่อเร่งรัดการเปิดด่านต่อไป
3.การทำเอฟทีเอ( FTA )ใหม่ ไทยกับอียูและกลุ่ม EFTA ขณะนี้คาดว่าจะเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบได้ในช่วงไตรมาสที่ 3 ตามที่กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศแจ้งไว้ส่วนเอฟทีเออาเซียน-แคนาดา จะทำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในช่วงปลายเดือนส.ค.นี้.
4.ภาคเอกชนเสนอขอให้ SMEs ส่งออกสามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้เงื่อนไขพิเศษหรือที่เรียกว่า soft loan ได้แจ้งว่าขณะนี้กระทรวงพาณิชย์จับมือกับ EXIM Bank และ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม( บสย.) จัดโครงการ”จับคู่กู้เงิน”สถาบันการเงินกับ SMEs ส่งออก ตั้งแต่วันที่ 7 ก.ค.-7 ก.ย.2564 โดยมีเงื่อนไขผ่อนปรนหลายประการช่วยให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้ในวงเงินไม่ต่ำกว่า 2,500 ล้านบาท ภาคเอกชนเสนอเพิ่มเติมขอเงื่อนไขผ่อนปรนอีก 2 ข้อ คือ 1.ขอให้สามารถใช้สต๊อกสินค้าเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันได้ 2.ขอให้ขยายวงเงินสำหรับผู้ใช้วงเงินเต็มแล้วจากนั้นนำสัญญาสั่งซื้อมาเป็นตัวค้ำประกันเงินกู้ จะช่วยรับออเดอร์ได้มากขึ้นส่งออกสินค้าได้มากขึ้น ได้มอบให้กรมการค้าต่างประเทศเจรจากับ EXIM Bank ต่อไป
5.ปัญหาแรงงานต่างด้าวที่ขาดแคลนสำหรับภาคการผลิตทั้งภาคการเกษตรอุตสาหกรรม ตนรับไปรายงานให้คณะรัฐมนตรีรับทราบปัญหาและดำเนินการแก้ไขต่อไป รวมทั้งการใช้แรงงานข้ามเขตในบางกรณี เช่น ช่วยเก็บผลไม้หรือตามความจำเป็น ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจอนุมัติในแต่ละจังหวัด
6.ปัญหาของอุตสาหกรรมไม้ยางพาราซึ่งภาคเอกชนสนับสนุนนโยบายของการยางแห่งประเทศไทยกระทรวงเกษตรฯที่สนับสนุนให้มีการโค่นยางให้ได้ตามเป้า 400,000 ไร่ต่อปีเพื่อปลูกแทน โดยปี 2563 สามารถทำได้ 340,000 ไร่ ส่วนปี 2564 จะเร่งรัดดำเนินการต่อไปซึ่งตัวเลขยังไม่มากเพราะขาดแคลนแรงงานในการดำเนินการ และการรับรองมาตรฐานไม้ยางพาราเพื่อการส่งออกมี 2 มาตรฐาน มาตรฐานสากลทั่วไป ที่รู้จักคือ FSC กับของสภาอุตสาหกรรมที่กลายเป็นมาตรฐานสากลแล้ว คือ TFCC สำหรับ FSC ต้องให้ตัวแทนจากต่างประเทศมาให้การรับรองแต่ละกรณี แต่ต่อไปนี้เห็นชอบด้วยกันว่าเป็นไปได้หรือไม่ให้มาตั้งสำนักงานในประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมกับการยางแห่งประเทศไทยรับเรื่องไปประสานงานเพื่อให้เกิดความสะดวกในการส่งไม้ยางส่งออกไปยังต่างประเทศ