UBE ราคาเปิดเทรดวันแรก 2.28บาท ต่ำจอง 5%
UBE ราคาเปิดเทรดวันแรก ที่ 2.28 บาท ต่ำจอง 0.12 บาท หรือ 5 % จากราคาไอพีโอที่ 2.40 บาท หลังจากเข้าเทรด บริษัท วางแผนขยายทั้ง 3 ธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจเอทานอล ธุรกิจแป้งสำปะหลัง และธุรกิจเกษตรอินทรีย์ ในปี 2564-2567 คาดว่าจะใช้เงินลงทุนราว 1,000 ล้านบาท
วันนี้ (30ก.ย.2564) บริษัท อุบล ไบโอ เอทานอล จำกัด (มหาชน) หรือ UBE เข้าซื้อขายหุ้นวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยเปิดตลาดที่ 2.28 บาท ต่ำจอง 0.12บาท หรือ 5 % จากราคาไอพีโอที่ 2.40 บาท
นายเดชพนต์ เลิศสุวรรณโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อุบล ไบโอ เอทานอล จำกัด (มหาชน) (บริษัทฯ)หรือ UBE ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมันสำปะหลังรายใหญ่ของประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้นำหุ้นเข้าซื้อขายวันแรกวันที่ 30 กันยายน 2564 ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หมวดทรัพยากร /พลังงานและสาธารณูปโภค โดยใช้ชื่อย่อ ‘UBE’ ในการซื้อขายหลักทรัพย์ ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญของบริษัทฯ ที่จะเสริมความแข็งแกร่งด้านเงินทุนรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต ด้วยศักยภาพของบริษัทฯ และพื้นฐานการดำเนินธุรกิจในการเป็นผู้ผลิตและแปรรูปมันสำปะหลังแบบครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง และการเป็นผู้นำฐานการผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังรายใหญ่ในประเทศ จะสนับสนุนให้ UBE เป็นหุ้นที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นที่มีความยั่งยืน
หลังจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บริษัทฯ วางแผนขยายทั้ง 3 ธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจเอทานอล ธุรกิจแป้งสำปะหลัง และธุรกิจเกษตรอินทรีย์ ในปี 2564-2567 คาดว่าจะใช้เงินลงทุนราว 1,000 ล้านบาท แบ่งเป็น
1.) การเพิ่มกำลังการผลิตแป้งฟลาวเป็น 300 ตันต่อวัน คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 300 ล้านบาท ภายในปี 2565
2.) การลงทุนสร้างสายการผลิตสารให้ความหวานออร์แกนิค (Organic Sweetener) เช่น ไซรัป (Syrup) และมอลโทเดกซ์ทริน (Maltodextrin) โดยมีกำลังการผลิต 300 ตัน/วัน คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 300 ล้านบาท ภายในปี 2565 – 2566
3.) การลงทุนในเครื่องจักรใหม่ต่างๆ เช่น เครื่องโม่หัวมันสำปะหลัง และเครื่องสลัดแป้งมันสำปะหลัง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตแป้งมันสำปะหลัง คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 100 ล้านบาท ภายในปี 2565 – 2566
4.) การลงทุนขยายกำลังการผลิตเอทานอลเกรดเชื้อเพลิง 40,000 ลิตรต่อวัน ผ่านการทำ De-bottlenecking Capacity คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 50 ล้านบาท ภายในปี 2566 – 2567 และ
5.) การลงทุนในโรงสีเชอร์รี่กาแฟและโรงคั่วกาแฟออร์แกนิค คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 100 ล้านบาท ภายในปี 2565
ทั้งนี้ บริษัทฯ วางเป้าหมายสู่การเป็นผู้นำด้านเกษตรอินทรีย์ที่ครบวงจรระดับโลก พร้อมวางกลยุทธ์มุ่งเน้นลงทุนเพื่อยกระดับสู่การเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในธุรกิจอาหารระดับโลก (Food Tech) ผ่านการเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพชั้นนำของประเทศ โดยจะดำเนินการควบคู่กับธุรกิจพลังงาน เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนและมั่นคง
โดยในช่วง 5 ปีข้างหน้า UBE ตั้งเป้าหมายรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดของธุรกิจเอทานอล ด้วยการรักษาความได้เปรียบด้านต้นทุน และการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลพลอยได้จากกระบวนการผลิต ขณะที่ธุรกิจแป้งมันสำปะหลัง บริษัทฯ จะมุ่งเน้นการเติบโตผลิตภัณฑ์แป้งมันสำปะหลังออร์แกนิค แป้งฟลาว และผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคอื่นที่มีมูลค่าสูง โดยภายใน 5 ปี บริษัทฯ มีแผนเพิ่มสัดส่วนกำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA) ของธุรกิจแป้งมันสำปะหลังและเกษตรอินทรีย์ จากปัจจุบันมีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 27 เป็นร้อยละ 70 ของกำไรจากการดำเนินงานทั้งหมด ขณะที่กำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA) ของธุรกิจเอทานอล คาดปรับสัดส่วนลดลงจากร้อยละ 73 ในปัจจุบัน เป็นร้อยละ 30 ตามลำดับ
นางรัชดา เกลียวปฏินนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า บมจ.อุบล ไบโอ เอทานอล หรือ UBE มีศักยภาพเติบโตโดดเด่นจากแผนธุรกิจที่เน้นสร้างมูลค่าเพิ่มจากวัตถุดิบทางการเกษตรอย่างครบวงจร ส่งเสริมวิถีการเกษตรอินทรีย์และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ด้วยจุดเด่นการเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายแป้งมันสำปะหลังออร์แกนิครายใหญ่ของโลกที่มีศักยภาพการเติบโตสูง โดย UBE เป็นผู้ผลิตเพียงไม่กี่รายในโลกที่ได้รับการรับรองมาตรฐานออร์แกนิคประเทศไทยและสากล ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์สามารถส่งออกไปจำหน่ายในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ประกอบกับทำเลที่ตั้งโรงงานเชิงยุทธศาสตร์ ทำให้สามารถจัดหาวัตถุดิบที่มีคุณภาพเข้าสู่กระบวนการผลิตได้ตลอดทั้งปี จากเครือข่ายเกษตรกรที่เข้มแข็ง ทำให้มีวัตถุดิบเพียงพอต่อกระบวนการผลิต และเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการขยายธุรกิจเกษตรอินทรีย์ในอนาคต
ส่วนธุรกิจเอทานอลนั้น ในฐานะที่บริษัทฯ เป็นผู้ผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังรายใหญ่ของประเทศ ที่มีพันธมิตรทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง สามารถรักษาส่วนแบ่งการตลาดได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยกำลังการผลิต 146 ล้านลิตรต่อปี โดยบริษัทฯ มีแผนมุ่งรักษาความได้เปรียบด้านต้นทุน และรักษามาตรฐานการบริการที่เหนือกว่าคู่แข่ง อีกทั้ง ยังลงทุนต่อเนื่องเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเอทานอลอีกด้วย นอจากนี้ UBE ยังได้ขยายสู่การพัฒนาสินค้าทางการเกษตรชนิดอื่นที่มีมูลค่าสูง (High Value Product หรือ HVP) ที่มีศักยภาพการจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยส่วนของธุรกิจเกษตรอินทรีย์จะปลูกกาแฟอินทรีย์ (Organic Coffee) และข้าวอินทรีย์ (Organic Rice) เพื่อจำหน่าย อีกทั้งจะวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรประเภทอื่นๆ เช่น อาหารผสมเสร็จที่ผลิตจากหญ้าเนเปียร์ สำหรับการเลี้ยงโคเนื้อ เป็นต้น ถือเป็นข้อแตกต่างเมื่อเทียบกับบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกัน