"หุ้นไทย" เปิดตลาดเช้านี้บวก 9.20 จุด แนวโน้มบวกต่อเนื่อง
"หุ้นไทย" เปิดตลาดวันนี้ (4 ต.ค.) ดัชนีเพิ่มขึ้น 9.20 จุด หรือ 0.57% มาอยู่ที่ 1,614.37 จุด "บล.โนมูระฯ" ชี้ปัจจัยบวก สหรัฐลงนามร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราว ปิดความเสี่ยงชัตดาวน์ของรัฐบาล ส่วนในประเทศผู้ติดเชื้อปรับลงมาอยู่ที่ 9,930 ราย
ความเคลื่อนไหวของตลาด "หุ้นไทย" เปิดภาคเช้าวันนี้ (4 ต.ค.2564) ดัชนีปรับขึ้นมาอยู่ที่ 1,614.37 จุด เพิ่มขึ้น 9.20 จุด หรือ 0.57% และยังมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในแดนบวกต่อเนื่อง
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โนมูระ พัฒนสิน เปิดเผยว่า คาดตลาด "ฟื้นตัวสั้น" ต้าน 1615/1620 จุด รับ 1599/1591 จุด ทางฝั่งสหรัฐฯมีประเด็นบวกจากการที่ปธน Joe Biden ลงนามในร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวแล้ว ซึ่งจะช่วยให้หน่วยงานของรัฐบาลกลางมีงบประมาณใช้จ่ายไปจนถึง 3 ธ.ค. และหลีกเลี่ยงการเกิด Government Shutdown ทำให้ปัจจัยเสี่ยงคลี่คลายไปหนึ่งประเด็น
แต่อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงทางด้านภูมิรัฐศาสตร์กลับมาเป็นประเด็นอีกครั้ง หลังผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) เตรียมประกาศว่าจีนไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงการค้าเฟสแรกที่ทำไว้กับสหรัฐฯในวันนี้ เนื่องจากจีนไม่สามารถนำเข้าสินค้าตามมูลค่าที่กำหนด จึงจะทำการทบทวนนโยบายการค้ากับจีนใหม่ในวันนี้ ซึ่งสหรัฐฯอาจจะตอบโต้ด้วยการปรับขึ้นภาษี ทำให้เกิดความไม่แน่นอนต่อตลาดอีกครั้ง เป็นความเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตาม
ส่วนปัจจัยสำคัญวันนี้ จับตาการประชุม OPEC+ ว่ากลุ่มผู้ผลิตจะมีการเดินหน้าปรับเพิ่มกำลังการผลิตตามแผนเดิมที่ 6.4 แสนบาร์เรลหรือไม่ หลังความต้องการใช้น้ำมันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและผู้ผลิตบางประเทศออกมาเรียกร้องให้มีการปรับเพิ่มโควต้าการผลิตขึ้น ส่วนทิศทาง Fund Flows ในเอเชียเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ต่างชาติขายสุทธิอย่างมีนัยฯที่ -2,420 ล้านเหรียญฯ ขายหนักที่สุดในไต้หวัน รองลงมาเป็นอินโดนีเซีย ขณะที่ซื้อไทย 78 ล้านเหรียญฯ และฟิลิปปินส์ 56 ล้านเหรียญฯ โดยภาพระดับสัปดาห์ ถือว่า Fund Flows ยังคงซื้อสลับขาย สะท้อนว่ายังขาดเสถียรภาพ
ขณะที่ภายใน ตัวเลขผู้ติดเชื้อวันนี้ลดระดับลงมาที่ 9,930 ราย เสียชีวิต 97 ราย ขณะที่ยอดหายป่วยกลับบ้านสูงกว่ายอดติดเชื้อใหม่ที่ 12,336 ราย ส่วนการฉีดวัคซีน ปัจจุบันไทยฉีดวัคซีนไปแล้ว 42% ของประชากร แบ่งเป็น คนที่ฉีดเฉพาะเข็มแรก 19% และคนที่ฉีดครบ 2 เข็ม 23% ถือเป็นจิตวิทยาบวก ผสานกับบริษัทเมอร์คของสหรัฐฯ เผยผลการทดสอบ "ยาโมลนูพิราเวียร์" ซึ่งเป็นยารักษา Covid-19 แบบรับประทาน ในเฟสที่ 3 ว่าสามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล หรือการเสียชีวิตได้ประมาณร้อยละ 50 และเตรียมยื่นขออนุมัติใช้ยานี้เป็นกรณีฉุกเฉินในสหรัฐฯ ถือเป็นจิตวิทยาบวกในการยับยั้งวิกฤตโรคระบาดนี้ได้
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-จีน เป็นความเสี่ยงที่ต้องติดตาม ขณะที่ภายใน ได้จิตวิทยาบวกจากตัวเลขผู้ติดเชื้อที่ลดระดับลงต่ำกว่า 1 หมื่นราย และผลสำเร็จของยาโมลนูพิราเวียร์ที่รักษา Covid-19 ได้มีประสิทธิภาของ MERCK เป็นจิตวิทยาบวกต่อ Re-Opening กลยุทธ์แนะนำถือหุ้น 50% คงพอร์ตหลักกลุ่มที่จะ Outperform SET ได้แก่ ได้แก่ โรงไฟฟ้า(GPSC, GULF, BCPG) โรงพยาบาล(BDMS, BH, BCH) กลุ่มสื่อสารฯ(ADVANC) ส่งออก(KCE, HANA. TU) โรงกลั่น(TOP, PTTGC)