Sideways Down - เก็งกำไร BANPU GUNKUL DRT

ทางเทคนิคยังคงส่งสัญญาณปรับตัวลดลงต่อเนื่อง โดยมีแนวรับลุ้นรีบาวด์ที่ 1590 จุด (เส้น MA 75 วัน) มิฉะนั้นอาจร่วงลงไปได้ลึกถึง 1575 จุด (MA 25 สัปดาห์) ปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ ผลประชุมกลุ่มโอเปคพลัส (จับตาการเพิ่มกาลังการผลิต) และ USTR สหรัฐฯ ส่งสัญญาณเตรียมตอบโต้จีนวันนี้ กรณีที่จีนไม่สามารถซื้อสินค้าสหรัฐฯ ได้ตามสัญญา Phase One Deal (เพิ่มความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกชะลอตัวรอบใหม่)

ปัจจัยบวก

1. การฟื้นตัวของตลาดหุ้นสหรัฐฯ

2. นักลงทุนต่างชาติกลับมา Long Set 50 Index Future คืน +4,110 สัญญา (Vs วันพฤหัสฯ Short SET 50 Index Future กว่า 2.9 หมื่น สัญญา) และสัปดาห์ที่ผ่านมา (27 ก.ย. – 1 ต.ค. 2021) นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยเพียงตลาดเดียว และซื้อต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 4 (หลังจากขาย 10 สัปดาห์) จำนวน
+USD58mn. (Vs สัปดาห์ก่อนหน้า +USD95mn.)

ปัจจัยลบ

1. Geopolitical Risk ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ปรับสูงขึ้น 2. การวิตกต่อเฟดอาจคุมเข้มนโยบายการเงินเร็วกว่าคาดการณ์ (จับตาตัวเลขการจ้างงานเดือน ก.ย. วันศุกร์นี้)

2.การพิจารณาร่างกฎหมายกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่อาจมีการปรับเพิ่มภาษีนิติบุคคล ภาษีกาไรหุ้น

3. ความเสี่ยงผิดนัดชาระหนี้ของสหรัฐฯ หากสภาสหรัฐฯ ไม่สามารถผ่าน
กฎหมายเพดานหนี้ได้ทันเส้นตายในวันที่ 18 ต.ค. 4. ภาวะน้าท่วมในประเทศ อาจรุนแรงขึ้นหากมีพายุเติมเข้ามาหลายระลอก

 

ประเด็นอื่น ๆ ที่ต้องติดตาม

     - สถิติตลาดหุ้นไทยเดือน ต.ค. ย้อนหลัง 5 ปี พบว่ามีโอกาส 3 / 5 ครั้ง ที่ปิดลบเฉลี่ย -1.37% MoM และต่างชาติขายสุทธิเฉลี่ย 2.38 หม่นื ล้านบาท
     - ตลาดหุ้นจีนปิดทำการตั้งแต่ 1 - 7 ต.ค. เนื่องในวันชาติ ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปิดทำการวันนี้เนื่องในวัน Alternative Holiday
     - ผลประชุมกลุ่มโอเปคพลัสวันนี้ คาดมีมติเหมือนเดิมเพิ่มเดือนละ 4 แสนบาร์เรล/วัน
    - Japan: สภาญี่ปุ่นแต่งตั้งนายกฯ คนใหม่ คิชิดะ พร้อมประกาศรายชื่อคณะรัฐบาล

 

+/-Global Market Summary: วันทำการที่ผ่านมา

- ตลาดหุ้นไทยปิดลบเล็กน้อย: ตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบ 1593.32-1609.48 จุด ก่อน
มาปิดตลาดที่ 1605.17 จุด -0.51 จุด วอลุ่มเบาบาง 7.56 หมื่นล้านบาท นำลงโดยกลุ่ม
พาณิชย์ -1.2% ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ -0.5% และนำขึ้นโดยกลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์
+1.29% พลังงานและสาธารณูปโภค +0.58% หุ้นปรับขึ้น >4% ได้แก่ BANPU GULF
UKEM LANNA DUSIT META TNP PLANET INSET UVAN UREKA VPO หุ้นปรับลง
>4% ได้แก่ MEGA MAKRO AIE EE DEMCO XO WIIK WAVE CPANEL TPS

+/- ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมาปิดบวก แต่ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบ: ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมา
ฟื้นตัวแรงช่วงท้ายตลาด DJIA +1.43% (+ 482.54 จุด) S&P500 +1.15% NASDAQ
+0.82% นำขึ้นโดยหุ้นอิงเศรษฐกิจ โดยมีปัจจัยหนุน จากรายงาน Personal Spending เดือน ส.ค. สูงขึ้นกว่าคาด (+0.8% MoM Vs คาด +0.7% MoM), รายงาน ISM Mfg Index เดือน ก.ย. ดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่สอง ที่ 61.1 (Vs คาด 59.6) และ Exxon เผยราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้น ช่วยหนุนผลกำไร 3Q21E USD1.5bn. ส่วนตลาดหุ้นยุโรปปิดลบต่อเนื่องและต่ำสุดรอบสองเดือน CAC40 -0.04% DAX -0.68% FTSE -0.84% นำลงโดยหุ้นกลุ่มธนาคาร ยานยนต์ วิตกเงินเฟ้อพุ่งแรงสุดรอบ 13 เดือน

+ น้ำมันและทองคำปิดบวก: น้ำมันดิบปิดบวก WTI +USD0.85 ปิดที่ USD75.88/บาร์เรล สูงสุดตั้งแต่เดือน ต.ค. 2018, Brent +USD0.97 ปิดที่ USD79.28/บาร์เรล โดยได้แรง
หนุน จากการอ่อนค่าของเงิน USD และคาดว่าตลาดน้ำมันยังคงตึงตัวในช่วงหลายเดือนข้างหน้า ส่วนราคาทองคำปรับขึ้นเล็กน้อย +USD1.40 ปิดที่ USD1,758.40/ออนซ์ จากแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย

 

 

ประเด็นสำคัญ

- SET Index Statistic: สถิติย้อนหลัง 5 ปี (ปี 2016-20) มีโอกาส 60% ที่ดัชนีฯ ปิดลบเฉลี่ย -1.37% MoM, Max +2.88% ปี 2017, Min -4.97% ปี 2018

- Fund Flow Statistic: สถิติย้อนหลัง 5 ปี (ปี 2016-20) พบว่ามีโอกาส 100% ที่นักลงทุนต่างชาติเป็นผู้ขายสุทธิเฉลี่ย -23,878 ล้านบาท, Max -7,297 ล้านบาท ปี 2017, Min –64,299 ล้านบาท ปี 2018

- EU: เงินเฟ้อเดือน ก.ย. พุ่งขึ้นสูงสุดรอบ 13 ปี ที่ 3.4% YoY (Vs เดือน ส.ค. +3% YoY และคาดการณ์ของตลาดที่ 3.3% YoY) สวนทางกับที่ทาง ECB เคยส่งสัญญาณว่าอัตราเงินเฟ้อจะเกิดขึ้นชั่วคราว นำขึ้นโดย Energy Costs +17.4% YoY

+ USA: Consumer Sentiment ของมหาวิทยาลัยมิชิแกนเดือน ก.ย. ปรับดีขึ้นเป็น 72.8 (Vs การประเมินครั้งแรกอยู่ที่ 71 และเดือน ส.ค. 70.3) และ ISM Mfg PMI เดือน ก.ย. ดีขึ้นเป็นเดือนที่สองที่ 61.1 (Vs คาด 59.6) สูงสุดนับตั้งแต่ปี 1983

กลยุทธ์การลงทุน: แนะนำ Trading Buy (โดยมีจุดขายตัดขาดทุน 3%)

หุ้นแนะนำรายสัปดาห์: BANPU GUNKUL PTTGC

หุ้นแนะนำเก็งกำไร: BANPU GUNKUL DRT

Derivatives: wait&see หลังปิด Short ทำกำไรไปแล้ว เมื่อวันศุกร์ (ติดตามรายละเอียดเพิ่มใน KTZ-D Report)