ทิชชู่เปียกรักษ์โลก"เบเบ้ซุป"ผนึก "ล็อกแอนด์ล็อก"รุกขยายฐานตลาด

นางสาวพิกุลแก้ว เพ็ชร์สีสม กรรมการผู้จัดการ บริษัท คลิมโก้ พลัส จำกัด ผู้นำเข้าและจำหน่าย เบเบ้ซุป (Bebesup) ผลิตภัณฑ์ทิชชู่เปียกรักษ์โลก เป็น 1 ใน 3 แบรนด์ ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในเกาหลีใต้ กล่าวว่า กระแสรักษ์โลกและใส่ใจสุขภาพ เป็นเทรนด์ที่มีการตอบรับจากผู้บริโภคทั่วโลก โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ยิ่งเกิดการระบาดของโควิด-19 ก่อให้เกิดการตื่นตัวเรื่องสุขอนามัยมากขึ้น ส่งผลให้ตลาดทิชชู่เปียกในประเทศไทยเติบโตอย่างต่อเนื่องและกลายเป็นสินค้าติดกระเป๋าสำหรับทุกคน

โดยปัจจุบัน ทิชชู่เปียก มีมูลค่าตลาดรวมสูงกว่า 1,000 ล้านบาท คาดว่าจะเติบโตขึ้นกว่า 20% ในปีนี้

“ที่ผ่านมายังไม่มีแบรนด์ทิชชู่เปียกในระดับพรีเมียมที่ใช้วัสดุคุณภาพสูงมาทำตลาดในเมืองไทยมากนัก จึงทำให้เล็งเห็นโอกาสในการเข้ามาเพิ่มเซ็กเม็นต์สร้างทางเลือกให้กับผู้บริโภคที่มองหาทิชชู่เปียกแบบพรีเมียม ที่ตอบโจทย์ความต้องการทั้งในด้านคุณภาพของสินค้าที่ทำจากธรรมชาติปลอดภัย 100%"  

โดยหลังจากที่เริ่มนำ "เบเบ้ซุป" เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยได้เกือบ 2 ปี ถือได้ว่าได้รับการตอบรับที่ดีมาก โดยเฉพาะกลุ่มแม่บ้านยุคใหม่และคนรุ่นใหม่ ส่งผลให้ที่ผ่านมามียอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่องกว่า 40% ต่อปี 

นางธมณณัฏฐ์ หัตถกิจวิไล ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท ล็อก แอนด์ ล็อก (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ล็อก แอนด์ ล็อก (LocknLock) เป็นแบรนด์เครื่องครัวเครื่องใช้ภายในบ้านสัญชาติเกาหลีใต้ ที่มีความโดดเด่นในเรื่องดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์ในสไตล์มินิมอลและสะดวกในการใช้งาน รวมถึงความปลอดภัยที่ตอบโจทย์การใช้เป็นผลิตภัณฑ์ใส่อาหาร 

ที่ผ่านมาตลาดของกล่องอาหารในไทย รวมถึง food container และ บรรจุภัณฑ์อาหารอื่น ๆ มีมูลค่า 2,300-2,600 ล้านบาท และมีทิศทางเติบโตอย่างต่อเนื่องที่มีปัจจัยบวกสำคัญมาจากกระแสการดูแลสุขภาพและรักษ์สิ่งแวดล้อมจึงทำให้ความนิยมใช้กล่องบรรจุอาหารแทนพลาสติกแบบ single use หรือใช้แล้วทิ้งเพิ่มสูงขึ้น โดยมีอัตราการเติบโตในกลุ่มผลิตภัณฑ์กล่องถนอมอาหารเพิ่มขึ้น 2-3% ต่อปี

"เพื่อเป็นการขยายโอกาสในการเติบโตทาง ล็อก แอนด์ ล็อก ได้มีการพัฒนาสินค้าให้มีความหลากหลายตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้งานตั้งแต่เด็กจนถึงผู้ใหญ่อย่างต่อเนื่อง จนทำให้แบรนด์มีส่วนแบ่งการตลาดในกลุ่ม food container สูงถึงกว่า 29% และมีการเติบโตต่อเนื่องทุกปี” 

ล่าสุด "เบเบ้ซุป" ได้จับมือเป็นพันธมิตรกับ "ล็อก แอนด์ ล็อก" จัดแคมเปญร่วมกันผ่านกลยุทธ์ Collaboration แบบ 360 องศา เพื่อสร้างการรับรู้และเจาะตลาดครอบครัวยุคใหม่ ภายใต้คอนเซปต์ “SAFE, CLEAN, ECO” ที่ถือเป็นจุดเด่นของทั้งสองแบรนด์ 

ทั้งนี้  “ล็อก แอนด์ ล็อก" ได้มีการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์พิเศษกล่องแก้วถนอมอาหารเด็ก (Baby Food Container) รุ่นลิมิเต็ด อิดิชั่น ที่มีโลโก้ "Bebesup" โดยกล่องแก้วถนอมอาหารเด็กรุ่นพิเศษนี้ ผลิตด้วยวัสดุแก้วโบโลซิลิเกต ลูกค้าที่ซื้อผลิตภัณฑ์เบเบ้ซุปตามเงื่อนไขของแคมเปญ จะได้รับกล่องแก้วถนอมอาหารเด็กรุ่นลิมิเต็ด อิดิชั่นทันที และลูกค้าที่ซื้อผลิตภัณฑ์ ล็อก แอนด์ ล็อก ผ่านช่องทาง Official website และ Line Shopping จะได้รับทิชชู่เปียกพรีเมียม Bebesup Nature Gold 1 ชิ้นทันทีเมื่อสั่งซื้อชุดกล่องถนอมอาหารสำหรับเด็ก ล็อก แอนด์ ล็อก แบบใดก็ได้ 1 เซ็ต ในราคา 459 บาท จากปกติ 489 บาท

รวมถึงกิจกรรมพิเศษที่จะจัดขึ้นในวันที่ 1-30 พฤศจิกายน 2564 เพื่อการสร้างการรับรู้บนโซเชียลมีเดียโดยเชิญชวนคุณแม่และน้อง ๆ ที่มีอายุระหว่าง 5 เดือนถึง 1 ปี เข้าร่วมสนุกในกิจกรรม มื้ออร่อยของหนูด้วยการถ่ายภาพน่ารัก ๆ ของลูกน้อยในขณะทานอาหารในช่องทางโซเชียลต่าง ๆ ตามเงื่อนไขที่กำหนด รูปที่ได้รับการคัดเลือก รับรางวัลพิเศษจากแบรนด์จำนวน 5 รางวัล 

ความร่วมมือในครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกในประเทศไทยของ 2 แบรนด์ใหญ่สัญชาติเกาหลีใต้ ที่แม้จะเป็นสินค้าคนละกลุ่ม แต่ทั้งคู่ต่างมี Brand Value ที่เหมือนกัน คือ ความปลอดภัย ความสะอาด และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงเป็นสินค้าที่เน้นกลุ่มครอบครัวยุคใหม่ที่ต้องการความสะดวกสบายคล่องตัว และมั่นใจในการใช้สินค้า

ภายใต้แคมเปญนี้มีเป้าหมายสำคัญในการสร้างการรับรู้หรือ Brand Awareness ให้กับ Bebesup และ LocknLock ในกลุ่มครอบครัวและแม่บ้านยุคใหม่ รวมถึงการขยายตลาดของทั้งสองแบรนด์ผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายที่แตกต่างกัน

โดยฐานลูกค้าของ "เบเบ้ซุป" จะอยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ตพรีเมียม อาทิ ฟู้ดแลนด์ ซุปเปอร์มาร์เก็ต และวิลล่า มาร์เก็ท ร้านขายสินค้าสุขภาพ และร้านขายสินค้าแม่และเล็ก รวมถึงช่องทางออนไลน์ ทั้ง Lazada และ Shopee

ขณะที่ "ล็อก แอนด์ ล็อก" จะเน้นการจัดทำโปรโมชั่นทางกรุ๊ปไลน์แม่และเด็ก เว็บไซต์ และ LINE Shopping จึงถือได้ว่าแคมเปญนี้จะเป็นการขยายการรับรู้ ตอกย้ำจุดแข็งของทั้งสองแบรนด์ผ่านกิจกรรมการสื่อสารการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์ รวมทั้งขยายโอกาสให้ทั้งสองแบรนด์ได้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอีกด้วย