"ปิ่นทอง"เคาะราคาไอพีโอ 3.90 บาท เปิดจอง 28ต.ค. -1 พ.ย.เข้าเทรด 9 พ.ย.64
"ปิ่นทอง" เคาะราคาไอพีโอ 3.90 บาทต่อหุ้น เปิดจองซื้อวันที่ 28ต.ค. -1 พ.ย. พร้อมเข้าเทรดในSET 9 พ.ย.นี้ รุกพัฒนาโครงการ Logistic Park ชูสุดยอดทำเลในพื้นที่ EEC รับเม็ดเงินลงทุนกลุ่ม S-Curve หนุนเพิ่มสัดส่วนรายได้กลุ่ม Recurring Income เติบโต
นายประเสริฐ ตันตยาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น บมจ.ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค หรือ PIN กล่าวว่า ได้กำหนดราคาเสนอขาย IPO ของ บมจ.ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค ที่ราคา 3.90 บาทต่อหุ้น พร้อมกำหนดให้นักลงทุนจองซื้อในวันที่ 28-29 ตุลาคม และวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 นี้ และคาดว่าจะสามารถนำหลักทรัพย์ของ PIN เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ภายในวันที่ 9 พฤศจิกายนนี้
ทั้งนี้หลังจากนำเสนอข้อมูลแผนการดำเนินงานและศักยภาพดำเนินธุรกิจของ PIN ต่อกลุ่มนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อย พบว่า นักลงทุนมีความเชื่อมั่นในพื้นฐานธุรกิจและโอกาสการเติบโตที่ดี ด้วยจุดเด่นของโครงการนิคมอุตสาหกรรม PIN อยู่ในพื้นที่เศรษฐกิจ EEC จะได้รับประโยชน์จากเม็ดเงินลงทุนใหม่ๆ ของนักลงทุนต่างชาติ รวมถึงแผนกลยุทธ์การสร้างการเติบโตจากรายได้ประจำและสม่ำเสมอมากขึ้น
PIN จะนำเงินจากการระดมทุนไปเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการดำเนินงานผ่านการพัฒนาโครงการ Logistics Park แห่งใหม่ ซึ่งเป็นโครงการที่มีศักยภาพที่ดี โดยจะสร้างการเติบโตของรายได้ของบริษัทอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเติบโตของรายได้จากการให้เช่าและบริการเพิ่มขึ้น ทำให้บริษัทฯ มีความมั่นคงของรายได้โดยมีสัดส่วนของกลุ่มรายได้ประจำ (Recurring Income) เพิ่มขึ้น ส่วนเงินทุนที่เหลือจะนำไปชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนกิจการ การระดมทุนจะส่งผลดีต่อสถานะทางการเงินของบริษัทฯ ให้มีความเข้มแข็งยิ่งขึ้นและเพิ่มศักยภาพการเติบโตของรายได้แก่บริษัทฯ อย่างต่อเนื่องและมั่นคง
นายพีระ ปัทมวรกุลชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค จำกัด (มหาชน) (บริษัทฯ) หรือ PIN บริษัทฯ จะนำประสบการณ์ความเชี่ยวชาญจากการดำเนินธุรกิจมากว่า 25 ปี ที่เป็นผู้พัฒนาและบริหารจัดการนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Eco Industrial Town) ภายใต้มาตรฐาน ISO14001 และรางวัล Eco-Excellence โดยการจัดวางผังโครงการที่มุ่งเน้นพื้นที่สีเขียวและพื้นที่กันชนเชิงนิเวศ (Eco-Belt) และระบบสาธารณูปโภคสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน และเป็นผู้พัฒนาอาคารโรงงานและคลังสินค้าให้เช่าและเพื่อขายบนพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมและพื้นที่โลจิสติกส์ (Logistics Park) โดยมีจุดเด่นของทำเลที่ตั้งโครงการนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทองและ Logistic Park ทั้ง 7 แห่ง ซึ่งมีพื้นที่รวมกันกว่า 7,500 ไร่ ตั้งอยู่ในจังหวัดชลบุรีและระยอง ใกล้กับท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบังและท่าเรือน้ำลึกมาบตาพุด บนถนนสายหลักเชื่อมต่อสนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินอู่ตะเภา รวมถึงมีแผนนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการโครงการต่างๆ เพื่อยกระดับนิคมอุตสาหกรรมก้าวสู่การเป็น "เมืองอัจฉริยะ" หรือ "Smart City" เพื่อดึงดูดนักลงทุนกลุ่ม S-Curve เข้ามาซื้อที่ดินก่อสร้างโรงงาน คลังสินค้าในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมของ PIN มากขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทฯ มีแผนสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเตรียมเปิดขายพื้นที่ภายในโครงการนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง 6 เฟสแรกในจังหวัดระยอง รวมเนื้อที่ 1,322 ไร่ ภายในช่วงไตรมาสุดท้ายปีนี้ รองรับนโยบายภาครัฐที่ส่งเสริมต่างชาติเข้ามาลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ในเขตเศรษฐกิจ EEC ทำให้ PIN ได้รับประโยชน์สามารถสร้างรายได้จากการขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังเตรียมพัฒนาโครงการ Logistics Park แห่งใหม่ ซึ่งอยู่ใกล้ท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง โดยพัฒนาที่ดินและสร้างอาคารโรงงานและคลังสินค้าให้เช่า ที่จัดสรรพื้นที่โครงการประกอบด้วยเขตปลอดอากร (Free Zone) และเขตทั่วไป (General Zone) โดยมีพื้นที่อาคารรวมประมาณ 100,000 ตารางเมตร บนพื้นที่ 80 ไร่ และส่วนที่สองจะให้เช่าที่ดินเปล่าในลักษณะการเช่าระยะยาว เพื่อให้ผู้ประกอบการสร้างอาคารคลังสินค้าในพื้นที่โครงการซึ่งได้จัดเตรียมที่ดินเปล่าให้เช่า โดยจะเริ่มพัฒนาโครงการได้ในปลายปีนี้ และคาดว่าจะพัฒนาเฟสแรกแล้วเสร็จภายในปี 2565 ส่งผลดีต่อการเพิ่มสัดส่วนรายได้ประจำ (Recurring Income) จากค่าเช่าคลังสินค้าและค่าบริการจากสาธารณูปโภคเพิ่มขึ้นเพื่อสร้างความมั่นคงด้านผลการดำเนินงาน "เรามีเป้าหมายสร้างการเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืนทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม ด้วยการพัฒนาโครงการที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและชุมชน รองรับการลงทุนของต่างชาติในกลุ่มอุตสาหกรรม S-Curve ที่ใช้เทคโนโลยีระดับสูงในการผลิตสินค้า เพื่อสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจและการขับเคลื่อนประเทศไทยก้าวสู่เศรษฐกิจ 4.0" นายพีระ กล่าว