ปัจจัยลบก๊าซพุ่งป่วน GPSC หั่นกำไรและราคาหุ้นปี 65
กลุ่มหุ้นไฟฟ้าร่วงกันแบบยกแผง หลังมีการพูดถึงโครงการจัดซื้อก๊าซ (LNG) ใหม่ในช่วง 4 ปีข้างหน้า (2565-2569) เพื่อลดต้นทุนส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นในกลุ่มถ้วนหน้า และหนึ่งในหุ้นที่กระทบหนัก บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC
ราคาหุ้นสัปดาห์แรกเดือนพ.ย. ลดลงเกือบ 4 % จาก 78 บาท อยู่ที่ 75.25 บาท มีแรงขายเข้ามาหลังมีกระแสข่าวทั้งธุรกิจและด้าน ราคาก๊าซ LNG เข้ามากระทบส่งผลทำให้มีมุมมองเชิงลบต่อผลการดำเนินงานในช่วงที่เหลือของปีร่วมทั้งในปี 2565
ประเด็นกระแสข่าวที่เขย่าขวัญ หุ้นโรงไฟฟ้า มาจากทิศทาง ราคาพลังงาน ที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น และในช่วงที่ผ่านมามีความผันผวนจาก ราคาถ่านหิน จนทำให้ราคาปรับตัวสูงที่สุดในประวัติการณ์ 270 -280 ดอลลาร์ต่อตัน (ช่วงปลาย ต.ค.64) จนเป็นสาเหตุทำให้อุตสาหกรรมต่างหันมาใช้พลังงานอื่นทดแทน ซึ่งกลายเป็นก๊าซส่งผลทำให้ราคาปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย
จาก ราคาการซื้อขายก๊าซ ที่ผ่านมาในไทยปรับตัวในทิศทางขาขึ้นตั้งแต่ครึ่งปีหลังที่ผ่านมา การขายให้ไฟฟ้าของกลุ่มโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ (IPP) ภายใต้ราคาก๊าซที่ 223 บาทต่อล้านบีทียู มาอยู่ที่ 263 บาทต่อล้านบีทียู และการขายไฟฟ้าของกลุ่มโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) ภายใต้ราคาก๊าซที่ 240 บาทต่อล้านบีทียู มาอยู่ที่ 289 บาทต่อล้านบีทียู
ต้นทุนราคาก๊าซ ทำให้ ราคาขายไฟฟ้า เพิ่มสูงขึ้นเช่นเดียวกับต้นทุนจากถ่านหิน ซึ่งผู้ได้รับผลกระทบมีทั้งหน่วยงานรับซื้อไฟฟ้าของภาครัฐ และเอกชนที่รับซื้อไฟฟ้า จนทำให้มีกระแสข่าวทางคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ทบทวนราคาก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG Price Review)
ด้วยการให้คู่สัญญาในการจัดหาก๊าซ LNG เปิดเจรจา Price Review ในระหว่างปีที่ 5 ของสัญญา ซึ่งทางประกอบไปด้วย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)หรือ PTT กับ บริษัท PETRONAS LNG LTD., และทาง PTTขอเจรจาในปี 2564 เพื่อปรับลดราคา LNGLNG ดังกล่าว
ผลการเจรจามีข้อสรุปสามารถปรับลดสูตรราคา LNG SPA ลงเฉลี่ย -7% ซึ่งสามารถลดต้นทุนการจัดหา LNG ลงประมาณ 4,500-5,000 ล้านบาทในปี 2565-2569 หรือลดต้นทุนค่า Ft ประมาณ 0.42 สตางค์ต่อหน่วย และกพช.มอบหมายให้ PTT เสนอสำนักงานอัยการสูงสุดตรวจร่างสัญญาต่อไป
ประเด็นดังกล่าวถือว่าเป็นปัจจัยลบเพราะเป็นที่รู้กันดีว่ารายใหญ่และกำหนด ราคาพลังงาน ในไทยคือ PTT เมื่อมีการเสนอลดราคาซื้อก๊าซลงมารายอื่นแม้จะไม่อยากทำเพราะเป็นการฝืนตลาดแต่สุดท้ายต้องลดราคาลงมา ซึ่งฐานะบริษัทลูก GPSC ต้องเชือนกำไรตัวเองออกไปด้วยระยะหนึ่งเพราะกว่าราคาจะสะท้อนต้องใช้เวลา 6 เดือน
ด้านผลประกอบการของ GPSC ในไตรมาส 3 ปี 2564 เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ราคาหุ้นเจอขายอีกแรง จากกำไรอยู่ที่ 1,874 ล้านบาท ลดลง 27 % จากช่วงเดียวกันปีก่อน มาจากกำไรขั้นต้นของโรงไฟฟ้า SPP ลดลง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากราคาก๊าซธรรมชาติและถ่านหินที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นตามกลไกราคาตลาดโลก และปัจจัยที่นอกเหนือแผนวางจากโรงไฟฟ้าโกลว์ พลังงาน ระยะที่ 5 หยุดเดินเครื่องนอกแผนงาน ตั้งแต่วันที่ 14 ส.ค. ที่
ส่งผลทำให้เริ่มมีการคาดการณ์แนวโน้มการเติบโตของกำไรที่จะอ่อนแอในไตรมาสสุดท้ายของปี เพราะทิศทางราคาพลังงานยังทรงตัวในระดับสูงต่อเนื่อง และหากบวกกับการต้องปรับโครงสร้างจัดซื้อลดลงทำให้ต้นทุนที่แท้จริงไปเป็นไปตามกลไกราคาตลาดโลก
หนึ่งในมุมมอง บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ราคาก๊าซจะเคลื่อนไหวช้ากว่าราคาน้ำมันดิบ 6-12 เดือน ดังนั้นจึงคาดว่าราคาก๊าซจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนถึง ไตรมาส 2 ปี 2565 ที่ระดับต่ำสุดเนื่องจากราคาน้ำมันดิบยังคงสูงขึ้น
ด้านผู้ประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมดังกล่าวมองว่าราคาก๊าซ ไตรมาส 4 ปี 2564 จะอยู่ที่ 300 บาท ต่อล้านบีทียู เพิ่มขึ้น 11% จากไตรมาสก่อน จึงเพิ่มสมมติฐานราคาก๊าซปี 2564/2565 ขึ้น 4% และ 15% ตามลำดับ จาก 240 และ 260 บาทต่อล้านบีทียู เป็น 250 และ 300 บาทต่อล้านบีทียู ซึ่งทุกๆ 1 บาทต่อล้านบีทียูของราคาก๊าซที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้กำไรของ GPSC ลดลง 30 ล้านบาท
ดังนั้นหุ้นโรงไฟฟ้ารายอื่นยังไม่สามารถนำเข้า LNG เข้ามาในประเทศได้ต้องผ่าน PTT รายเดียว เผชิญปัญหาเช่นเดียวกับ GPSC นั้นคือการกำหนดราคาขายไฟฟ้าให้ลดลง และมาร์จิ้นกำไรที่จะหายไป