โบรกคาดปันผลแบงก์ปี 64 "TCAP-TISCO" สูงสุด เหตุไม่เข้าเกณฑ์ ธปท.
"บล.คันทรี่กรุ๊ป" ประเมินปันผลแบงก์ปี 64 หลัง ธปท.ไฟเขียว คาด "TCAP-TISCO" จ่ายหนักสุด เหตุขายธุรกิจธนาคารออกจากพอร์ต-ทำธุรกิจโฮลดิ้ง "บล.เอเซีย พลัส" คงน้ำหนักลงทุน "เท่าตลาด" ชี้หลายแบงก์จ่ายไม่เกินเพดานแบงก์ชาติอยู่แล้ว
ความเคลื่อนไหวของราคาดัชนีกลุ่มธนาคาร (หุ้นแบงก์) ภายหลังธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อนุญาตจ่ายปันผลงวดปี 2564 (11-12 พ.ย.2564) ปรับตัวลง 1.33 จุด หรือ 0.32% อยู่ที่ 409.73 จุด
อย่างไรก็ดี ความเคลื่อนไหวในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา (13 ต.ค. - 12 พ.ย.) ปรับขึ้น 17.46 จุด หรือ 4.45% อยู่ที่ระดับ 4.45% โดยหุ้นที่ปรับขึ้นสูงสุด คือ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ KKP บวก 7.46%
รองลงมา ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB บวก 6.43% ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL บวก 5.42% ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK บวก 5.34% และ บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TCAP บวก 5.07%
นายธนเดช รังษีธนานนท์ นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) คันทรี่กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากที่ ธปท.อนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์จ่ายเงินปันผลปี 2564 คาดว่าจะช่วยสร้างบรรยากาศ (sentiment) เชิงบวกต่อการลงทุนในหุ้นธนาคาร
อย่างไรก็ตาม คาดว่าอัตราเงินปันผล (Dividend Yield) ของธนาคารจะไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจาก ธปท.อนุญาตให้จ่ายเงินปันผลไม่เกิน 50% ของกำไรสุทธิปี 2564 เท่านั้น ท่ามกลางเศรษฐกิจที่เพิ่งเริ่มฟื้นตัว
สำหรับคาดการณ์ Dividend Yield ของหุ้นกลุ่มธนาคาร เบื้องต้นคาดว่า TCAP จะให้อัตราเงินปันผลสูงสุดที่ 8.5% เนื่องจากบริษัทไม่เข้าเกณฑ์ของ ธปท. ภายหลังจำหน่ายธุรกิจธนาคารให้แก่ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB
เช่นเดียวกับ TISCO คาดการณ์ Dividend Yield ที่ 7.5% หรือคิดเป็นอัตราเงินปันผลต่อกำไรสุทธิ (Payout Ratio) ที่ 80% ตามนโยบายเดิม เนื่องจากบริษัทเป็นกลุ่มธุรกิจการเงินที่มีธุรกิจอื่นๆ ภายใต้การบริหาร นอกเหนือจากธุรกิจธนาคาร
ส่วน SCB คาดว่าจะให้อัตราเงินปันผลที่ 6% ซึ่งเป็นเงินปันผลพิเศษจากการปรับโครงสร้างธุรกิจสู่ SCBX ขณะที่ KKP คาดว่าจะให้ Dividend Yield ที่ 4.5-5% ตามนโยบายเดิมของบริษัทที่มี Payout Ratio ก่อนโควิด-19 ค่อนข้างสูงที่ 60%
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนกลุ่มหุ้นธนาคาร แนะนำซื้อกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ จากความแข็งแกร่งของปัจจัยพื้นฐาน และคาดหวังการฟื้นตัวของธุรกิจในปี 2565 ได้แก่ BBL ราคาเหมาะสม 162 บาทต่อหุ้น KBANK 172 บาทต่อหุ้น และ SCB 136 บาทต่อหุ้น
นายภาสกร หวังวิวัฒน์เจริญ ผู้จัดการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ฝ่ายวิจัยคงน้ำหนักการลงทุนหุ้นแบงก์ "เท่ากับตลาด" (Neutral) แม้มีข่าวบวก ธปท.อนุญาตจ่ายเงินปันผลปี 2564 แต่ไม่เกิน 50% ของกำไรสุทธิ เนื่องจากหลายธนาคารมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่เกินที่ ธปท.กำหนดอยู่แล้ว
อย่างไรก็ดี คาดว่า TISCO จะให้ Dividend Yield สูงสุดที่ 6-7% หรือคิดเป็น Payout Ratio ที่ 83% ใกล้เคียงกับปี 2563 เพราะบริษัทเป็นกลุ่มธุรกิจ (โฮลดิ้ง) ที่ดำเนินธุรกิจอื่นนอกเหนือจากธุรกิจธนาคาร รวมถึงมีปัจจัยหนุนจากแนวโน้มกำไรปี 2564 ที่คาดว่าจะเติบโตจากปีก่อน
ส่วนการลงทุน ฝ่ายวิจัยเลือก KBANK และ SCB เป็นหุ้นเด่น ราคาเหมาะสม 158 บาทต่อหุ้น และ 140 บาทต่อหุ้น ตามลำดับ จากการทรานส์ฟอร์มธุรกิจเข้าสู่โลกดิจิทัล และการลงทุนในฟินเทค รวมถึง BBL จากมูลค่า (Valuation) ที่ยังถูก จากราคาต่อมูลค่าทางบัญชี (P/BV) ที่ 0.5 เท่า