กังวลโอไมครอน (วันที่ 29 พฤศจิกายน 2564)
วันศุกร์ที่ผ่านมา ดัชนีปรับตัวลงต่อเนื่อง ในภาคเช้าลบราว 20 จุด ในช่วงบ่ายปรับตัวลงต่อเป็นลบ เกือบ 40 จุด จากความกังวลไวรัสสายพันธุ์ใหม่ในแอฟริกาใต้
ประกอบกับความกังวลเรื่องที่ FED อาจทำการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าคาดการณ์เดิม พร้อมทั้งราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลง ปัจจัยลบเหล่านี้ส่งผลให้หุ้นจำนวนมากเผชิญแรงขาย แต่มีหุ้นที่ได้ประโยชน์ปรับตัวขึ้น อย่างหุ้นโรงพยาบาล ถุงมือยาง เช่น STGT, BCH, CHG ส่งผลให้ดัชนี SET Index ปิดตลาดที่ 1,610.61 จุด -37.85 จุด -2.30% มูลค่าการซื้อขาย 123,472 ลบ. ต่างชาติ -6,091.21 ลบ. TFEX -55,742 สัญญา ตราสารหนี้ -13,600.27 ลบ.
ปัจจัยบวก
+ จีนรายงานว่า อุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างของจีนเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้
+ ยอดค้าปลีกของออสเตรเลียฟื้นตัวแข็งแกร่งในเดือนต.ค. เนื่องจากยกเลิกมาตรการจำกัดจำนวนมากเพื่อควบคุมโรคโควิด-19 กระตุ้นให้มีการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้นอย่างมาก ยอดค้าปลีก พุ่งขึ้น 4.9% ในเดือนต.ค. จาก +1.7% ในเดือนก.ย.
+กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเผยโควิด-19 ฉุดเศรษฐกิจทั่วโลก สถานการณ์ท่องเที่ยวฟื้นยาก จับตาอาเซียน-ไทยเป็นประเทศเป้าหมายแรงงานกำลังซื้อสูงเดินทางมาท่องเที่ยวและทำงาน เหตุค่าครองชีพต่ำ สภาพแวดล้อมเป็นมิตรต่อการทำงานนอกสถานที่
+ ศบค.รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศวันนี้ พบผู้ติดเชื้อรายใหม่รวม 4,753 ราย ATK 1,607 ราย มีผู้เสียชีวิต 27 ราย รักษาหาย 6,165 ราย
ปัจจัยลบ
- ดัชนีดาวโจนส์ปิดร่วงลง 905.04 จุด -2.53% โดยหุ้นกลุ่มเดินทาง กลุ่มธนาคาร และกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ร่วงหนักจากแรงเทขายท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับรายงานการพบไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ที่อาจจะดื้อวัคซีน
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ปิด ดิ่งลง 10.24 ดอลลาร์ -13.1% ปิดที่ 68.15 ดอลลาร์/บาร์เรล และ -10.4% ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาจากความวิตกเกี่ยวกับการพบไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ในแอฟริกาใต้
- WHO ประกาศว่า ไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ B.1.1.529 ที่พบในแอฟริกาใต้เป็นสายพันธุ์ที่น่าวิตก อาจแพร่ระบาดรวดเร็วมากกว่าสายพันธุ์อื่น ๆ
- อังกฤษเปิดเผยว่าพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน (Omicron) แล้ว 2 ราย
- เมอร์ค แอนด์ โค ซึ่งเป็นบริษัทยารายใหญ่ของสหรัฐอัปเดตข้อมูลจากการทดลองยาโมลนูพิราเวียร์ (molnupiravir) พบว่ายาดังกล่าวลดความเสี่ยงของผู้ป่วยโควิด-19 ในการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลหรือเสียชีวิตได้น้อยกว่าที่เคยประกาศไว้ในผลการทดลองเบื้องต้น
- ยอดการผลิตรถยนต์ของอังกฤษเดือนต.ค.ลดลงมากถึง 41.4%YoY ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 และเป็นยอดการผลิตรถยนต์ประจำเดือนตุลาคมที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2499
- รัฐบาลทหารเมียนมาขู่จับกุมประชาชนที่ซื้อพันธบัตรของรัฐบาลเงา โดยมีโทษจำคุกเป็นเวลานานเนื่องจากถือว่าเป็นการให้เงินสนับสนุนการก่อการร้าย
แนวโน้มตลาดวันนี้
คาดดัชนีในวันนี้มีโอกาสปรับตัวลงต่อตามทิศทางตลาดโลก จากความวิตกกังวลการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ โอไมครอน ที่อาจจะดื้อวัคซีน ประกอบกับราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ปรับตัวลงแรงกดดันหุ้นกลุ่มพลังงาน มองกรอบดัชนีในวันนี้ที่ 1600-1,620 จุด
กลยุทธ์การลงทุน
• MSCI Global Small Cap Indexes มีผล 30 พ.ย. หุ้นเข้า BEC TIPH TIDLOR หุ้นออก TKN
• หุ้นที่ได้ประโยชน์จากสถานการณ์โควิด-19 STGT STA BCH EKH SMD WINMED TM PHOL
หุ้นรายงานพิเศษ
TNP (ราคาเหมาะสม 7.20 บาท)
•บริษัทรายงานรายได้งวด 3Q64 เท่ากับ 580 ลบ. +11.2%YoY -4.6%QoQ ต่ำกว่าคาด 7% และมีกำไรสุทธิ 38 ลบ. +25%YoY -14%QoQ ต่ำกว่าคาด 17% โดยผลประกอบการโต YoY จากการขยายสาขาเพิ่มขึ้นอีก 2 แห่ง รวมมีทั้งหมด 36 สาขา (+6 สาขา YoY +2 สาขา QoQ) อย่างไรก็ดี รายได้หดตัว QoQ จากที่คาดว่าจะเติบโต QoQ เป็นผลจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วง 3Q64 ที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เร่งตัวขึ้นเฉลี่ยเป็น 15,000 ราย/วัน จากช่วง 2Q64 เฉลี่ยที่ 3,000 ราย/วัน ทำให้ผู้บริโภคจับจ่ายใช้สอยนอกบ้านลดลง ประกอบกับวงเงินสนับสนุนจากมาตรการภาครัฐที่น้อยกว่าไตรมาสก่อนหน้า ทำให้งวด 9M64 บริษัทมีกำไรสุทธิ 139 ลบ. +55%YoY และคิดเป็น 74% ของประมาณการกำไรปี 64 เดิม ที่ 187 ลบ.
•เราปรับประมาณการรายได้ปี 64 ลดลง 3% สู่ 2,553 ลบ. +16%YoY และปรับคาดกำไรลง 5% สู่ 184 ลบ. +37%YoY โดยเราปรับลดเป้าปีนี้ลงหลังจากผลประกอบการงวด 3Q64 ต่ำกว่าคาด อย่างไรก็ดี เราคาดแนวโน้มผลประกอบการงวด 4Q64 โต YoY และ QoQ จากแผนขยายสาขาอีก 2 แห่ง และการเข้าสู่ช่วง High Season ขณะที่ปี 65 เราคาดรายได้และกำไรราว 2,815 ลบ. +10%YoY และ 211 ลบ. +16%YoY ตามลำดับ จากแผนขยายสาขาใหม่ในปี 65 อีก 6 สาขา
•(+) Catalyst บวกระยะสั้น : หากมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ภายในประเทศ Omicron ซึ่งเป็นเชื้อที่สามารถแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว อาจทำให้เริ่มมีการกักตุนสินค้าอุปโภคบริโภคอีกครั้ง
หุ้นมีข่าว
(+) AS (Bloomberg Consensus 23.75 บาท) เปิดเกมรุกปี 2565 เล็งเปิดตัวเกมใหม่ 5-6 เกม เน้นเกมโมบายมากขึ้น ตั้งเป้ารายได้โตตามอุตสาหกรรมเกมที่คาดว่าจะเติบโต 15-20% ลุยขยายตลาดเวียดนาม-อินโดนีเซีย เผยอยู่ระหว่างศึกษาท้าเกม NFT มองเป็นเทรนด์ของเทคโนโลยี ส่วนปีนี้มั่นใจรายได้โต 15-20% ตามเป้า สัดส่วนเกมโมบายแตะ 30% (ที่มา ทันหุ้น)
(+) GUNKUL (Bloomberg Consensus 5.75 บาท) วางเป้ารายได้ปี 2565 โตต่อเนื่อง 20% จากสิ้นปี 2564 คาดรายได้แตะ 1 หมื่นล้านบาท คาดงาน EPC ทั้งรัฐ-เอกชน เปิดประมูลงานกว่า 5 หมื่นล้านบาท หวังคว้าไม่น้อยกว่า 7-10% อวดแบ็กล็อกปัจจุบันทะลุ 1.15 หมื่นล้านบาท ลุ้นสัปดาห์นี้ได้รับใบอนุญาตปลูกกัญชง-กัญชา มองอนาคตเด่นไม่เกิน 2 ปีคุ้มทุน (ที่มา ทันหุ้น)
(+) SECURE (Bloomberg Consensus - บาท) ลั่นแนวโน้มความต้องการ Cybersecurity เพิ่มขึ้น ส่วนปัญหาสภาวะชิปขาดตลาด หนุนแบ็กล็อกพุ่ง 105 ล้านบาท เชื่อสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติในไตรมาส 2/65 หรือต้นไตรมาส 3/65 ด้านศูนย์ Technical Support Center คาดเปิดให้บริการต้นปี 65 (ที่มา ข่าวหุ้น)
(+) HFT (Bloomberg Consensus 11.20 บาท) “ฮั้วฟงฯ” หรือ HFT แย้มไตรมาส 4/64 ยอดขายโตรับไฮซีซั่นธุรกิจ มั่นใจผลงานทั้งปี 64 ทำนิวไฮ โชว์แผนธุรกิจ เตรียมสร้างแบรนด์รถจักรยานของตัวเองออกมาทำตลาด หวังบริหารต้นทุน-อัพมาร์จิ้นสูงกว่ารับจ้างผลิตมากถึง 15% นอกจากนี้พร้อมก้าวสู่ธุรกิจรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าเต็มตัว (ที่มา ข่าวหุ้น)