สมรภูมิค้าปลีกเดือด! “เซ็นทรัล”ผนึก“แกร็บ” จ่อปิดดีลซื้อห้างดังในอังกฤษ

แม้ล่าสุดจะมีข่าวการระบาดของเชื้อกลายพันธุ์ “โอมิครอน” ในหลายประเทศ แต่เชื่อว่าที่ผ่านมาเรามีประสบการณ์รับมือโรคระบาดมาแล้ว หวังว่ารอบนี้น่าจะคุมอยู่ โดยต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชนทุกคน

“ธุรกิจค้าปลีก” เป็นอีกตัวชี้วัดเศรษฐกิจได้อย่างดี อย่างช่วงนี้จะเห็นว่าผู้ประกอบการค้าปลีกแต่ละค่ายเริ่มขยับตัวอีกครั้ง มีการขยายการลงทุน เปิดสาขาใหม่ จับมือพันธมิตรเพื่อขยายบริการให้ครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า หลังมองว่าจุดต่ำสุดของกำลังซื้อได้ผ่านพ้นไปแล้ว

หนึ่งในเทรนด์ที่มาแรงเห็นจะเป็นการรุกเข้าสู่โลกดิจิทัลและสินทรัพย์ดิจิทัล โดย “เดอะมอลล์ กรุ๊ป” ร่วมมือกับ “บิทคับ” ตั้งบริษัทร่วมทุน “บิทคับ เอ็ม” สร้างดิจิทัลคอมมูนิตี้สำหรับผู้ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลแห่งแรกของประเทศไทย ซึ่งประกอบไปด้วยศูนย์การเรียนรู้ อบรม สัมมนา ห้องประชุม เอ็นเอฟทีแกลเลอรี่ (NFT Gallery) ร้านค้า คาเฟ่ และบาร์ บนพื้นที่กว่า 2,000 ตารางเมตร ณ บริเวณชั้น 8-9 โซนฮีลิกซ์ เอ็มควอเทียร์

นอกจากนี้ เปิดให้ลูกค้านำเงินดิจิทัลถึง 7 สกุล ได้แก่ BITCOIN, TETHER, ETHEREUM, STELLAR, XRP, BITKUB COIN และ JFIN COIN แลกเป็นสินค้าหรือบัตรกำนัลได้ทุกห้าง และศูนย์การค้าของเครือเดอะ มอลล์

ส่วน “สยามพิวรรธน์” เจ้าของและผู้บริหารศูนย์การค้า สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ และยังเป็นหนึ่งในพันธมิตรของไอคอนสยามและสยามพรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพ จับมือกับ บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ XPG เพื่อร่วมศึกษาเรื่องสินทรัพย์ดิจิทัล เตรียมพร้อมประสบการณ์ด้านดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบให้ลูกค้าและพันธมิตรธุรกิจ พร้อมเชื่อมต่อสู่แพลตฟอร์มระดับโลก

ด้าน “กลุ่มเซ็นทรัล” เดินหน้าทรานฟอร์มสู่ “ดิจิทัลรีเทล” อย่างเต็มรูปแบบ โดยที่ผ่านมาบริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC ทุ่มเงินลงทุนกว่า 3.1 หมื่นล้านบาท ในการพัฒนา Central Retail Ecosystem และแพลตฟอร์มออมนิแชนเนลที่เชื่อมต่อทั้งออฟไลน์และออนไลน์อย่างไร้รอยต่อ

นอกจากนี้ อยู่ระหว่างพัฒนาสกุลเงินดิจิทัล “C-Coin” โดยเริ่มทดสอบใช้ในองค์กร ให้พนักงานสามารถนำเหรียญ “C-Coin” มาใช้ชำระค่าอาหาร หรือซื้อสินค้าและบริการจากพันธมิตรของบริษัทได้ และเมื่อการทดสอบเสร็จสิ้นจะขยายบริการไปยังลูกค้าและประชาชนทั่วไป

ล่าสุดมีบิ๊กดีลเกิดขึ้น หลัง CRC เข้าซื้อหุ้น Porto Worldwide Limited (Porto WW) สัดส่วน 67% มูลค่ารวม 4.5 พันล้านบาท ซึ่ง Porto WW ถือหุ้น 40% ในบริษัท แกร็บ แท็กซี่ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด การปิดดีลครั้งนี้ถือเป็นจิ๊กซอว์ตัวสำคัญเพื่อต่อยอดให้ CRC เป็นดิจิทัลรีเทลที่สมบูรณ์แบบที่สุด และตอบโจทย์ลูกค้าได้ครบวงจรตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง

นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับประโยชน์ หาก Porto WW ใช้สิทธิแลกหุ้นแกร็บ แท็กซี่ฯ ไปเป็นหุ้น Grab Holdings Limited (GHL) ที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แนสแด็ก (NASDAQ) ประเทศสหรัฐ เมื่อวันนี้ 3 ธ.ค. ที่ผ่านมาตามเวลาประเทศไทย ในราคาที่กำหนดไว้ 6.1629 ดอลลาร์ต่อหุ้น

ทั้งนี้ หากย้อนความสัมพันธ์ระหว่าง “กลุ่มเซ็นทรัล” และ “แกร็บ” เริ่มตั้งแต่ปี 2562 หลังเซ็นทรัลทุ่มเงินราว 200 ล้านดอลลาร์ หรือ ประมาณ 6.2 พันล้านบาท เข้าลงทุนใน “แกร็บ ประเทศไทย” โดยเป็นการเข้าถือหุ้นแบบไม่มีอำนาจควบคุมในสัดส่วนที่มีนัยสำคัญ

ซึ่งกลุ่มเซ็นทรัลหวังว่าการร่วมมือกับแกร็บซึ่งเป็นผู้ให้บริการแพลตฟอร์มออนไลน์-ทู-ออฟไลน์ (O2O) ที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว และมีบริการที่หลากหลาย ทั้งส่งอาหาร บริการเดินทาง ระบบโลจิสติกส์ การจองโรงแรมที่พัก ไปจนถึงบริการทางการเงิน จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญช่วยต่อยอดธุรกิจของบริษัทในอนาคต

ส่วนอีกดีลใหญ่ที่ต้องจับตามองห้ามกะพริบ หลังสื่อต่างประเทศรายงานว่า “เซ็นทรัล กรุ๊ป” ได้บรรลุข้อตกลงในการซื้อกิจการห้างหรู Selfridges ในอังกฤษเป็นที่เรียบร้อย ด้วยมูลค่าสูงถึง 4 พันล้านปอนด์ หรือ เกือบ 1.8 แสนล้านบาท แต่ขณะนี้ยังไม่มีการยืนยันออกมาอย่างเป็นทางการ

มีเพียง CRC ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่าบริษัทไม่มีส่วนดำเนินการตามข่าวที่ออกมา ซึ่งอาจตีความได้ว่า CRC ไม่ได้เข้าไปซื้อห้าง Selfridges แต่อาจใช้บริษัทในเครือแห่งอื่นเข้าไปซื้อก็ได้ เพราะหากประเมินแล้วดีลนี้มีโอกาสเป็นไปได้สูง เนื่องจากก่อนหน้านี้เซ็นทรัลได้เข้าซื้อกิจการ “รินาเชนเต” ห้างใหญ่สัญชาติอิตาเลียน มาแล้ว

 

พิสูจน์อักษร โดย....สุรีย์  ศิลาวงษ์