BTS มั่นใจรายได้ปี 64/65 เติบโต โควิด “โอมิครอน” ไม่กระทบ
“บีทีเอส กรุ๊ป” มั่นใจรายได้ครึ่งหลังสดใส เหตุ ทุกธุรกิจผลงานฟื้น หนุนงบงวดปี65 เติบโตจากปีก่อน ที่มีรายได้ 4.2 หมื่นล้าน พร้อมวางงบลงทุนปี 65 กว่าพันล้าน ในโครงการ “มอเตอร์เวย์-เมืองการบินอู่ตะเภา” หนุนการเติบโตระยะยาว
นายสุรยุทธ ทวีกุลวัฒน์ ผู้อำนวยการใหญ่สายการเงิน บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจผลการดำเนินงานงวดครึ่งปีหลัง 2564/2565 (ต.ค.2564 - มี.ค.2565) จะมีแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่อง และจะหนุนให้รายได้งวดปี 2564/65 (เม.ย.2564 - มี.ค.2565) เติบโตจากงวดปีก่อน (เม.ย.2563-มี.ค.2564) ที่มีรายได้รวม 42,379.10 ล้านบาท
โดยได้ปัจจัยหนุนจากธุรกิจขนส่ง (MOVE) ที่จำนวนผู้โดยสารมีแนวโน้มกลับมาเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ล่าสุด ในเดือน พ.ย.อยู่ที่ 40% ของจำนวนผู้โดยสารในช่วงก่อนเกิดโควิด-19 หรือราว 8 ล้านเที่ยว เพราะ ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ กลับมาทำงานที่ออฟฟิศ และการทยอยเปิดภาคเรียน ซึ่งปัจจุบันยังไม่เห็นผลกระทบจากโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน แต่บริษัทฯ ยังติดตามสถานการณ์ต่อเนื่องอย่างใกล้ชิด
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีรายได้จากสัญญาจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 รวมถึงคาดหวังจะได้รับการชำระหนี้ที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ค้างจ่าย พร้อมดอกเบี้ย 5% โดย กทม.อยู่ระหว่างยื่นเรื่องให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา เชื่อว่าโอกาสผิดนัดชำระหนี้น้อยมาก ส่วนการต่ออายุสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว เบื้องต้นกระทรวงมหาดไทยให้ความเชื่อมั่นว่า กทม.จะพิจารณาเรื่องดังกล่าวเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาแก่บริษัทฯ
ขณะที่ธุรกิจสื่อและการวิเคราะห์ข้อมูล (MIX) ได้ปัจจัยหนุนจากสัดส่วนรายได้ธุรกิจดิจิทัลที่เพิ่มขึ้น ภายหลังบริษัทลูก บมจ.วีจีไอ (VGI) เข้าซื้อหุ้นบริษัท แฟนสลิ้งค์ คอมมูนิเคชั่น จำกัด (Fanslink) ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจอีคอมเมิร์ซและผู้นำเข้าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบรนด์ชั้นนำของจีน ช่วยชดเชยรายได้สื่อนอกบ้าน (Out of Home Media) ที่ถูกกระทบจากโควิด-19
ส่วนธุรกิจการลงทุน (MATCH) คาดว่าจะได้ปัจจัยหนุนจากการปล่อยสินเชื่อดิจิทัลของบริษัท แรบบิท แคช จำกัด ซึ่งจะเริ่มเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในไตรมาส 1 ปี 2565 ภายหลังได้รับใบอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งครอบคลุมสินเชื่อสวัสดิการ สินเชื่อเงินด่วน และสินเชื่อในลักษณะซื้อก่อนจ่ายทีหลัง
นายสุรยุทธ กล่าวว่า ในปี 2565 (ปีปฏิทิน) บริษัทยังมีแผนการลงทุนใหม่อย่างต่อเนื่องเพื่อสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจ เบื้องต้นคาดว่าจะใช้งบลงทุนใน 3 โครงการลงทุนหลัก ได้แก่
1. โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีเหลือง ซึ่งเตรียมเปิดให้บริการเฟสแรกในช่วงกลางปี 2565
2. โครงการมอเตอร์เวย์ ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับพันธมิตร คาดว่าจะใช้งบลงทุนหลักพันล้านบาทต้นๆ แบ่งลงทุน 3-4 ปี
3. โครงการเมืองการบินอู่ตะเภา ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับพันธมิตรเช่นกัน และเป็นโครงการที่ได้รับสินเชื่อสนับสนุนโครงการ (Project Finance) จากสถาบันการเงิน ภายหลังการส่งมอบพื้นที่กลุ่มบริษัทฯ ต้องใส่เงินลงทุนมูลค่ารวม 9,000 ล้านบาท โดยใส่เงินลงทุนแล้ว 4,500 ล้านบาท เหลืออีก 4,500 ล้านบาท อย่างไรก็ดี สัดส่วนตามการลงทุนของบริษัทที่ 35% จะอยู่ที่ประมาณ 1,500 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2564/2565 (30 ก.ย.2564) มีสภาพคล่องที่เป็นเงินสดและการลงทุนที่ให้สภาพคล่อง (Liquid Investment) อยู่ที่ 1.92 หมื่นล้านบาท มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ที่ 1.44 เท่า และมีต้นทุนทางการเงินราว 2-3% อย่างไรก็ดี บริษัทมีแผนออกหุ้นกู้สีเขียว (Green Bond) เพื่อสนับสนุนโครงการลงทุนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องในปี 2565