TSC กำไร 4Q64 อ่อนตัว 20%QoQ แต่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ YoY

TSC กำไร 4Q64 อ่อนตัว 20%QoQ แต่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ YoY

รายงานกำไร 4Q64 อ่อนตัว 20% QoQ แต่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากปีก่อน: รายงานกำไร 4Q64 (ก.ค. 64 – ก.ย. 64) ที่ 47.5 ลบ. เป็นไปตามคาด โดยหดตัว 20%QoQ แต่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากปีก่อนที่ฐานต่ำ

โดยรายได้ทรงตัวที่ระดับ 605 ลบ. ทรงตัวQoQ แต่เพิ่มขึ้น 19%YoY เนื่องจากยอดการผลิตรถยนต์ (ก.ค. 64 – ก.ย. 64)  ปรับตัวลง 3%QoQ แต่เพิ่มขึ้น 3%YoY สู่ 367,345 คัน ขณะที่ยอดการผลิตรถจักรยานยนต์หดตัว 44%QoQ และหดตัว 37%YoY สู่ 274,181 คัน เนื่องจากโรงงานโตโยต้าและฮอนด้าหยุดการผลิตเป็นเวลา 16 วันและ 3 วันตามลำดับในช่วง ก.ค.-ส.ค.64 ด้านอัตรากำไรขั้นต้นทรงตัวที่ระดับ 19.3% เนื่องจากบริษัทมีการเจรจาต่อรองกับคู่ค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีการปรับใช้วัตถุดิบในประเทศเพื่อลดต้นทุน ขณะที่อัตราค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายปรับตัวขึ้น 4.3% จากไตรมาสก่อนสู่ 82.7 ลบ. เนื่องจากปลายปีมีการจ่ายโบนัสพนักงาน ทั้งนี้ บริษัทรายงานกำไร 2564 ที่ 237 ลบ. เป็นไปตามคาด โดยเติบโตอย่างมีนัยสำคัญจากฐานต่ำในปีก่อนเพราะผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 
 

-  สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยปรับเพิ่มยอดการผลิตรถยนต์จาก 1.57 ล้านคันสู่ 1.65 ล้านคัน : ยอดการผลิตรถยนต์และรถจักรยานยนต์เดือน ม.ค.-ต.ค. 64 อยู่ที่ 1.37 ล้านคัน และ 1.42 ล้านคันเติบโต 22.9% และ 11.2% ตามลำดับ ทั้งนี้สภาอุตสาหกรรมฯ ได้ปรับเพิ่มยอดการผลิตรถยนต์จาก 1.57 ล้านคันสู่ 1.65 ล้านคัน (ณ เดือน พ.ย.) หลังการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในไทยเริ่มคลี่คลาย หลังภาครัฐได้ดำเนินการฉีดวัคซีนครอบคลุมประชากร 57.6% หรือคิดเป็น 40.2 ล้านคนแล้ว อีกทั้งการเปิดเมืองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 64 ส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องมีโอกาสฟื้นตัวตั้งแต่ 4Q64 (ต.ค.-ธ.ค. 64) เป็นปัจจัยหนุนต่ออุปสงค์ทั้งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ในประเทศให้ฟื้นตัว ขณะที่ในปี 65 สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย บริษัท IRC ศูนย์วิจัยกรุงศรี และธนาคารทหารไทยธนชาตคาดว่ายอดการผลิตรถยนต์จะปรับเพิ่มขึ้นราว 1.73-2.0 ล้านคันเติบโตอย่างน้อย 10% จากปี 64
 

 

 

-  คงคาดการณ์รายได้และกำไรปี 65 ที่ 2.85 พันลบ. และ 244 ลบ. เติบโต 9% และ 3% ตามลำดับ : เราคงคาดการณ์รายได้ปี 65 ที่ 2.85 พันลบ.เติบโต 9% ตามยอดการผลิตรถยนต์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 10% ในปี 65 ขณะที่เราปรับเพิ่มสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นจาก 17.0% สู่ 17.5% แต่อ่อนตัวลงจากปี 64 ที่ 18.1% เนื่องจากราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก นอกจากนี้ค่าขนส่งทางเรือที่ปรับตัวขึ้น และอัตราเงินเฟ้อทั่วโลกที่เร่งตัวขึ้นเป็นปัจจัยกดดันต่อต้นทุนการผลิต คาดอัตราค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายจะปรับตัวลงจาก 9.7% เหลือ 9.4% เนื่องจากรายได้เติบโตเร็วกว่าค่าใช้จ่าย ทั้งนี้เราคาดการณ์กำไรสุทธิปี 65 ที่ 244 ลบ. เติบโต 3%YoY

- คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมปี 65 ที่ 13.75 บาท : เราประเมินมูลค่าด้วยวิธี Dividend Discounted model (DDM) เนื่องจากการเติบโตของอุตสาหกรรมรถยนต์ย้อนหลัง 6 ปี (2557-2562) อยู่ที่ 1.2%ต่อปี (ไม่นำยอดผลิตรถยนต์ปี 2563-2564 มาคำนวณเนื่องจากเป็นปีที่ได้รับผลกระทบของ COVID-19) อีกทั้ง TSC มีอัตราจ่ายปันผล(Payout Ratio) ย้อนหลัง 4 ปี (2560-2563) สม่ำเสมอสูงถึง 102%  โดย เราแสดงสมมติฐานการคำนวณตามตารางด้านล่าง ได้ราคาเหมาะสมปี 65 ที่ 13.75 บาทต่อหุ้น และคาดหวัง Yield ในปี 65 ที่ 6.0% โดยราคาเหมาะสมที่ประเมินได้สูงกว่าราคาปิดล่าสุดจึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”

 

ปัจจัยเสี่ยง

i)    การผลิตรถยนต์ชะลอตัวจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 
ii)    พึ่งพาลูกค้ารายใหญ่ 8 รายคิดเป็นสัดส่วน 82% ของยอดขายรวม
iii)    การเปลี่ยนเทคโนโลยีจากรถยนต์สันดาปเป็นรถยนต์ไฟฟ้า ส่งผลให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนต้องปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีการผลิต