ttb แนะ เร่งรับมือ 3 ปัจจัยท้าทายเศรษฐกิจ-การเงินไทย ปี 2565

ttb แนะ เร่งรับมือ 3 ปัจจัยท้าทายเศรษฐกิจ-การเงินไทย ปี 2565

การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยปี 2565 นอกจากความเสี่ยงของสถานการณ์โควิด-19 สายพันธุ์ใหม่แล้ว ยังต้องเผชิญกับความท้าทายจากปัจจัยด้านจุดอ่อนเศรษฐกิจไทย ทิศทางการดำเนินนโยบายระดับโลก และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ที่ควรต้องเร่งปรับตัวเพื่อรับมือ

การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยปี 2565 นอกจากความเสี่ยงของสถานการณ์โควิด-19 สายพันธุ์ใหม่แล้ว ยังต้องเผชิญกับความท้าทายจากปัจจัยด้านจุดอ่อนเศรษฐกิจไทย ทิศทางการดำเนินนโยบายระดับโลก และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ที่ควรต้องเร่งปรับตัวเพื่อรับมือ

 

      อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญอีกประการคือ ความท้าทายด้านเศรษฐกิจการเงินในปี 2565 ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ทั้งภาครัฐ และภาคธุรกิจต้องเร่งปรับตัวให้ทัน เพื่อรักษาเสถียรภาพการเติบโตของเศรษฐกิจ และภาคธุรกิจระยะยาวให้ได้หลังยุคโควิด-19 โดยเมื่อจัดกลุ่มปัจจัยท้าทายด้านเศรษฐกิจการเงินตามเกณฑ์แหล่งที่มาของผลกระทบ  แบ่งออกได้เป็น 3 ด้าน 

     คือ 1. จุดอ่อนของภาคส่วนเศรษฐกิจไทย  2.การปรับเปลี่ยนทิศทางการดำเนินนโยบายในระดับโลก และ 3. พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงทั่วโลก

ttb แนะ เร่งรับมือ 3 ปัจจัยท้าทายเศรษฐกิจ-การเงินไทย ปี 2565      ความท้าทายด้านแรกคือ เรื่องจุดอ่อนของภาคเศรษฐกิจไทย ซึ่งมีปัจจัยหลักมาจาก 

     1.1) ความผันผวนของต้นทุนด้านอุปทานที่จะส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อไทยมากขึ้น โดยเฉพาะต้นทุนนำเข้าจากต่างประเทศ โดยความผันผวนด้านราคาสินค้าตลาดโลก ในปัจจุบันมาจากภาคการผลิตที่หยุดดำเนินการในช่วงเกิดการแพร่ระบาด ได้ทยอยกลับมาเปิดดำเนินการ 

      แต่ในหลายส่วนยังไม่สามารถผลิตสินค้าได้เพียงพอกับความต้องการทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วได้ 

      อีกทั้งสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงขึ้นทั่วโลก ส่งผลให้ปริมาณผลผลิตทางการเกษตรลดลง และส่งผลกระทบต่อการผลิตสินค้าให้สะดุดหยุดลงได้

     ประกอบกับอาจทำให้ความต้องการสินค้าบางประเภทเพิ่มขึ้นรวดเร็ว อาทิ ความต้องการพลังงานในช่วงฤดูหนาวที่ยาวนานกว่าปกติเช่นในปีนี้ แม้ประเมินว่าปัญหาด้านอุปทานจะทยอยคลี่คลายหลังกลางปี 2565 เป็นต้นไป

     แต่ภาคธุรกิจไทยที่เปราะบางจึงจำเป็นต้องพยายามลดต้นทุนที่เกิดขึ้น หาพลังงานทดแทน และลดความผันผวนจากต้นทุนนำเข้าต่างประเทศ (Imported Price) เพื่อคงความสามารถในการทำกำไรเอาไว้

    1.2) ปัญหาโครงสร้างนักท่องเที่ยวต่างชาติที่กระจุกตัวอยู่ในบางประเทศมีอัตราสูง 

     โดยเฉพาะจีนและประเทศในกลุ่มอาเซียน ทำให้รายได้ภาคการท่องเที่ยวเผชิญกับความอ่อนไหวเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น ดังนั้น ภาครัฐและภาคธุรกิจควรร่วมมือกันเร่งกระจายนักท่องเที่ยวเป้าหมายไปยังกลุ่มประเทศอื่น ๆ พร้อมกับเพิ่มกิจกรรมการท่องเที่ยวในประเภทที่สามารถทำมูลค่าเพิ่มได้ 

     โดยเฉพาะกิจกรรมที่สอดคล้องกับกระแสนิยมของนักท่องเที่ยวกลุ่มเดินทางด้วยตัวเอง (FITs) ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีอำนาจใช้จ่ายต่อคนสูงกว่าประเภทกรุ๊ปทัวร์ ก็จะสามารถช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางรายได้ให้แก่ภาคธุรกิจท่องเที่ยวไทยและเพิ่มการมีส่วนร่วมของภาคส่วนเศรษฐกิจอื่น ๆ เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจการท่องเที่ยวไทยได้เป็นอย่างดี

     สำหรับความท้าทายด้านที่สอง จากการปรับเปลี่ยนทิศทางการดำเนินนโยบายในระดับโลก มีปัจจัยดังนี้ 

     2.1) การเปิดกว้างทางการค้าระหว่างประเทศที่ลดลง โดยเฉพาะในเศรษฐกิจขนาดใหญ่ เช่น จีนและอินเดียซึ่งแม้ว่าอุปสรรคการค้าในด้านภาษี (Tariff Barrier) ทั่วโลกจะลดลงต่อเนื่อง แต่มีแรงสั่นสะเทือนอีกครั้งหลังเกิดสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา 

     ขณะเดียวกันอุปสรรคที่ไม่ใช่ด้านภาษี(Non-tariff Barrier) เช่น สิทธิบัตร ฯลฯ ยังคงอยู่ในระดับสูงและไม่มีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะกลุ่มเอเชียและแปซิฟิกที่ถือว่ามีอุปสรรค Non-tariff Barrier มากที่สุด 

     อีกทั้งการดำเนินนโยบายพึ่งพาตนเองทางด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของจีนจะส่งผลกระทบเพิ่มเติมต่อแนวโน้มการค้าการลงทุนของโลกด้วย 

     ดังนั้นแนวทางการพิจารณาสร้างความสัมพันธ์ผ่านข้อตกลงร่วมทางการค้าระหว่างประเทศจึงเป็นหนทางหนึ่งที่อาจช่วยลดทอนอุปสรรคทางการค้าลงได้

     2.2) แนวนโยบายร่วมกันลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มีผลให้ภาคธุรกิจและภาครัฐประเทศต่างๆ แสวงหาเทคโนโลยี นวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สนับสนุนพลังงานสะอาด

     พร้อมออกนโยบายสนับสนุนวิธีการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อให้บรรลุเป้าหมายควบคุมอุณหภูมิโลกร่วมกัน แนวทางการดำเนินนโยบายระดับโลกที่เปลี่ยนไปเช่นนี้ หากธุรกิจและนโยบายประเทศใดปรับตัวสอดรับไม่ทัน อาจต้องเผชิญการสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจการค้าการลงทุนได้ 

     ดังนั้น การเร่งปรับตัวผ่านการใช้เทคโนโลยี นวัตกรรมและพลังงานที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมจึงเป็นเรื่องสำคัญ 

     ความท้าทายด้านที่สาม จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปทั้งการทำงานจากที่บ้าน (Work Form Home) การซื้อสินค้าและบริการ และการชำระเงินผ่านระบบออนไลน์มากขึ้น 

     โดยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ได้ส่งผลให้คนไทยและผู้คนทั่วโลกทยอยปรับตัวทำกิจกรรมบางส่วนในชีวิตประจำวันบนโลกออนไลน์กัน ตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 เช่น 

      การส่งเอกสาร และซื้อสินค้าผ่านระบบอินเทอร์เน็ตฯลฯ แต่การเกิดวิกฤตโควิด-19 ถือเป็นตัวเร่งให้ผู้บริโภคมีประสบการณ์การทำงานและประชุมผ่านระบบออนไลน์จากบ้านมากขึ้น 

     อีกทั้งยังขยายฐานจำนวนผู้คนที่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมาซื้อสินค้าและบริการบนระบบออนไลน์ได้มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด 

     นอกจากนี้ การมาถึงของชุมชนโลกเสมือนจริง (Metaverse) จะยิ่งเร่งพฤติกรรมทางเศรษฐกิจบนโลกออนไลน์ ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่สำคัญและเป็นโอกาสทางธุรกิจใหม่นับจากนี้เป็นต้นไป

     ดังนั้น ปัจจัยเหล่านี้ถือเป็นโอกาสดีที่เร่งให้ภาคธุรกิจต้องเสริมแพลตฟอร์มออนไลน์ และปรับปรุงระบบนิเวศดิจิทัล (Digital Ecosystem) ขององค์กรให้เชื่อมโยงกัน เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและยังต้องสนับสนุนการทำงานของพนักงานจากบ้านได้อีกด้วย 

     ซึ่งจะสามารถเพิ่มโอกาสให้เข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ ลดต้นทุนการบริหารบุคลากรในองค์กรลงได้และทำให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจได้เร็วขึ้น 

     สำหรับภาครัฐจะได้รับประโยชน์จากการมีทรัพยากรข้อมูลบนระบบออนไลน์ที่เพิ่มมากขึ้นเพื่อนำมาใช้ในการวางนโยบายบริหารประเทศได้ถูกต้องและตรงตามเป้าหมายมากขึ้นด้วย

     ความท้าทายทั้ง 3 ด้านที่กล่าวมาข้างต้นนี้ แม้ไม่สามารถทราบล่วงหน้าว่าจะส่งผลลัพธ์สุดท้ายต่อทิศทางเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกในอนาคตอย่างไร 

      แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ ทั้งภาครัฐและภาคธุรกิจไทยควรร่วมมือกันปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไทย โดยหาทางรับมือกับความผันผวนทางต้นทุนเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ เร่งปรับตัวต่อแนวนโยบายระดับโลกที่เปลี่ยนแปลง และสร้างโอกาสเพื่อรองรับพฤติกรรมเศรษฐกิจบนโลกออนไลน์ที่มีมากขึ้น ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงแห่งยุคสมัยนับแต่นี้เป็นต้นไป

 

พิสูจน์อักษร โดย....สุรีย์  ศิลาวงษ์