โบรกคาดกำไรบจ.ปี 65 แตะ 1.12 ล้านล้าน แรงหนุนเศรษฐกิจโต
โบรกคาดกำไรบจ.ปี 65 โต ฝ่าโควิดโอมิครอน “บล.บัวหลวง” ประเมิน 1.12 ล้านล้าน เพิ่มขึ้น 18% จากปี 64 คาดปิดที่ 9.55 แสนล้าน แรงหนุนเศรษฐกิจไทยขยายตัว 4.1% ราคาน้ำมันดิบทรงตัวสูง หนุนกำไรกลุ่ม ปตท. “บล.เอเซีย พลัส” อัพเป้ากำไรปีหน้าเป็น 9.4 แสนล้าน จากเดิมคาดโต 9.27 แสนล้าน
นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทคาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ปี 2565 จะเติบโต 18.1% อยู่ที่ 1.12 ล้านล้านบาท จากปี 2564 คาดอยู่ปีที่ 9.55 แสนล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น (EPS) 98 บาทต่อหุ้น จากปัจจัยบวก ที่คาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 2565 กลับมาขยายตัว 4.1% และสมมติราคาน้ำมันดิบโลก (เบรนท์) ทรงตัวสูงเฉลี่ย 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หนุนกำไรกลุ่ม ปตท. ซึ่งมีน้ำหนักในตลาดหุ้นไทยที่สูง
สำหรับปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ การแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน แม้ปัจจุบันจำนวนผู้เสียชีวิตจากเชื้อไวรัสดังกล่าวยังอยู่ในระดับต่ำ แต่ด้วยข้อมูลเกี่ยวกับการกลายพันธุ์ที่ยังจำกัด จึงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม อย่างไรก็ดี คาดว่าในกรณีเลวร้ายที่สุดจะส่งผลลบให้กำไรบจ.ปีหน้าไม่เติบโต แต่เชื่อว่าจะไม่ปรับตัวลงติดลบ เพราะประเมินรัฐบาลจะไม่กลับไปใช้มาตรการล็อกดาวน์รุนแรงอย่างช่วงแรกของการแพร่ระบาด รวมถึงบจ.มีความแข็งแกร่ง สามารถปรับตัวได้ดี
ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงจากแนวโน้มเงินเฟ้อทั่วโลกที่ปรับขึ้น และอาจนำไปสู่การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย แม้จะมีความเสี่ยงทำให้ตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชีย รวมถึงตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวผันผวนในปี 2565 แต่ด้วยเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่ในปีนี้ ทำให้แนวโน้มดอกเบี้ยในประเทศที่ยังทรงตัวต่ำ 0.50% ผลตอบแทนที่ยังปรับขึ้นช้ากว่าตลาดหุ้นซีกโลกตะวันตก และการกลับมาเปิดประเทศ จึงคาดหวังว่าจะเห็นเม็ดเงินกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย
ทั้งนี้ บล.บัวหลวง ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยปี 2565 โดยเป้าหมายดัชนี SET (SET Index) สิ้นปีหน้ามีโอกาสปรับขึ้นทดสอบบริเวณ 1,800 จุด โดยประเมินแนวรับและแนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1,580 จุด และ 1,650 จุด ตามลำดับ คำนวณจากอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) ที่ 18 เท่า
สำหรับการลงทุนในปี 2565 ยังให้น้ำหนักตลาดหุ้นเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจลงทุนมากที่สุด โดยการจัดพอร์ตลงทุนแนะนำถือหุ้น 65% (หุ้นสหรัฐ 22% หุ้นเวียดนาม 17% หุ้นจีนและอื่นๆ 14% และหุ้นไทย 12%) ทองคำ 10% และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (กองรีท) 10% แต่แนะนำเป็นกองรีทต่างประเทศ เพราะมีความหลากหลาย และมีการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ ที่น่าสนใจ เช่น ธุรกิจคลาวด์
ส่วนกลุ่มหุ้นและหุ้นเด่นที่แนะนำลงทุน ได้แก่ กลุ่มโรงพยาบาล เพราะเป็นกลุ่มที่จากสถิติให้ผลตอบแทนดีท่ามกลางเงินเฟ้อสูงขึ้น เช่นเดียวกับกลุ่มค้าปลีกที่สามารถส่งต่อต้นทุนสินค้าไปยังผู้บริโภค และกลุ่มสถาบันการเงินที่ได้ประโยชน์จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังแนะนำกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม เพราะได้อานิสงส์การย้ายฐานการผลิตจากจีนมายังไทย จากประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐกับจีน
สุดท้าย แนะนำกลุ่มเทคโนโลยี เพราะธุรกิจสามารถต้านทานกับการแพร่ระบาดของไวรัสได้สูง แม้ราคาหุ้นหลายตัวจะปรับขึ้นค่อนข้างร้อนแรง ส่งผลให้มูลค่าหุ้น (Valuation) อยู่ในระดับสูง เช่น P/E 80 เท่า แต่สามารถลงทุนระยะยาวเพื่อรับการเติบโตในอีก 2-3 ปีข้างหน้าได้ อาทิ บมจ.เจ มาร์ท (JMART) ที่เป็นตัวแทนธุรกิจคริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัล บมจ.บลูบิค กรุ๊ป (BBIK), บมจ.เบริล 8 พลัส (BE8) และ บมจ.สบาย เทคโนโลยี (SABUY)
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า บริษัทได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรบจ.ปี 2565 มาอยู่ที่ 9.4 แสนล้านบาท จากเดิมคาดที่ 9.27 แสนล้านบาท เติบโต 11% จากปี 2563 คิดเป็น EPS 81.80 บาทต่อหุ้น จากความเชื่อมั่นเศรษฐกิจไทยปีหน้าจะเติบโต 3.5% สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลก ภายใต้สมมติฐานที่ประเทศไทยจะไม่กลับไปใช้มาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน