เสียงสะท้อนของผู้ป่วยกลุ่มเปราะบาง ในวันที่โควิด-19 คล้ายจะถูกลืม
กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เผยว่าประเทศไทยติดอันดับ1ใน 5 ประเทศที่มีอัตราเกิดโรคไตสูงสุดในโลก ปัจจุบันเรามีผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง 11.6 ล้านคน ในจำนวนนั้น 1 แสนคนต้องล้างไต
โรคไตเป็นเพียงหนึ่งในผู้ป่วยกลุ่มเปราะบางที่เรียกว่ากลุ่ม 608 ประกอบไปด้วยผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ผู้มีโรคประจำตัวเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค ได้แก่ โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็ง โรคเบาหวานและโรคอ้วน รวมทั้งสตรีมีครรภ์ ผู้ป่วยกลุ่มนี้ ในช่วงสี่ห้าปีที่ผ่านมา นอกจากต้องสู้กับโรคที่ตัวเองเป็นอยู่ ยังต้องหวั่นไหวกับโรคระบาดอย่างโควิด-19 อีกด้วย
ในงานเสวนา “สถานการณ์โควิด-19 และความจำเป็นในการป้องกันของประชากรกลุ่มเสี่ยง” จัดโดยราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย และสมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย ที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง
นายธนพลธ์ ดอกแก้ว ตัวแทนเครือข่ายพลเมืองขับเคลื่อนสิทธิด้านสุขภาพกลุ่มผู้ป่วย Health Forum และสมาคมโรคเพื่อนไตแห่งประเทศไทย หนึ่งในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่ทำงานด้านสิทธิและสวัสดิภาพของผู้ป่วยอย่างเข้มแข็งมาเป็นระยะเวลายาวนาน เป็นผู้มีประสบการณ์ตรงด้วยตัวเองว่าผู้ป่วยโรคไต มีภูมิคุ้มกันน้อย มีภาวะแทรกซ้อนโรคได้ง่าย
เมื่อติดโควิด-19 จึงมีโอกาสที่จะป่วยรุนแรงกว่าคนทั่วไป โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ฟอกเลือดล้างไตทางหน้าท้องหรือได้รับการปลูกถ่ายไต หากติดโควิด-19 แล้ว อัตราเสียชีวิตสูงถึงร้อยละ 30-40 ดังนั้น จึงทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อผู้ป่วยกลุ่มเปราะบาง ได้รับการเหลียวแลจากภาครัฐในส่วนที่คนไข้ไม่สามารถจะจัดการหรือรับผิดชอบด้วยตัวเองได้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
JSP เปิดโมเดลธุรกิจ “ผู้ป่วยไต” ขยายศูนย์ฟอกไตครบวงจร -ใกล้ชุมชุน
สถิติติด-ตายของไทยสูงสุดในอาเซียน
รศ.นพ.ภิรุญ มุตสิกพันธุ์ นายกสมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย เผยว่าการระบาดของโควิด-19 ยังคงมีอัตราสูง โดยตั้งแต่ต้นปี 2567 จนถึงวันที่ 16 กันยายน 2567 มีผู้ติดเชื้อไปแล้วมากกว่า 7 แสนราย ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลกว่า 48,000 ราย และเสียชีวิต 205 ราย ถือว่าเป็นสถิติการติดเชื้อและเสียชีวิตสูงสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
รศ. นพ.ภิรุญ เผยต่อไปว่ากลุ่ม 608 เมื่อป่วยเป็นโควิด-19 มีความเสี่ยงที่จะป่วยหนักสูงขึ้นประมาณ 2 ถึง 3 เท่า โอกาสเสียชีวิตสูงขึ้นประมาณ 2 ถึง 10 เท่า เมื่อเทียบกับผู้มีอายุน้อยกว่าหรือผู้ที่ไม่ได้มีโรคร่วม
"ไม่เพียงแต่เมื่อติดเชื้อแล้วจะมีอาการรุนแรงขึ้น แต่ยังส่งผลต่อภาวะโรคที่คนไข้เป็นอยู่ เพราะโควิด-19 ไม่ใช่โรคของทางเดินหายใจเท่านั้น แต่เป็นโรคที่สามารถมีอาการแสดงได้ในหลายอวัยวะ เนื่องจากเชื้อสามารถแพร่ไปได้ทั่วร่างกาย ก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่อระบบอวัยวะต่าง ๆ เช่น ลิ่มเลือดอุดตัน กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ หัวใจล้มเหลว ไตวาย ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตเพิ่มขึ้น"
วัคซีนโควิดเข็มกระตุ้นยังมีความจำเป็นอยู่
สำหรับผู้ป่วยโรคไตเมื่อรับเชื้อโควิด-19 เชื้อจะโจมตีอวัยวะต่างๆ รวมถึงไตซึ่งมีหน้าที่กรองของเสียออกจากร่างกายด้วย เชื้อโควิด-19 จะทำลายเซลล์ไตรวมทั้งกระตุ้นให้เกิดการอักเสบของไต ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของไตลดลง เกิดภาวะไตวายเฉียบพลัน (Acute Kidney Injury – AKI) ดังนั้น แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำอย่างหนักแน่นว่าผู้ป่วยกลุ่มเปราะบาง ควรได้รับวัคซีนที่จะช่วยลดความรุนแรง ลดอัตราการตายได้
ศ.พญ.ศศิโสภิณ เกียรติบูรณกุล ผู้แทนจากราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า วัคซีนโควิดเข็มกระตุ้นยังมีความจำเป็นอยู่เพราะโควิด-19 มีการกลายพันธุ์ไปเรื่อย ๆ ทำให้ผู้ที่เคยฉีดวัคซีนหรือเคยติดเชื้อไปนานแล้ว ภูมิคุ้มกันที่มีอยู่อาจไม่สามารถป้องกันโรคได้ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง จึงมีความจำเป็นที่ต้องรับวัคซีนเข็มกระตุ้น
ข้อมูลปัจจุบันประสิทธิภาพของวัคซีนเข็มกระตุ้นจะอยู่ที่ประมาณ 60-70% ในการป้องกันการป่วยหนักและเสียชีวิต ซึ่งถ้าพิจารณาจากความเสี่ยงของการป่วยหนักและเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นหลายเท่าในคนกลุ่มนี้แล้ว ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของวัคซีนในการลดภาระโรคที่จะเกิดกับคนไข้กลุ่มนี้
ป้องกันดีกว่ารักษา
นายธนพลธ์ แสดงความคิดเห็นว่า ภาครัฐควรให้ความสำคัญกับการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโควิด-19 ด้วยวัคซีนเข็มกระตุ้น โดยเฉพาะกับกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรังและประชาชนกลุ่มเสี่ยง กลุ่มผู้ป่วยส่วนใหญ่มีการระมัดระวังตัวมาโดยตลอดตั้งแต่การระบาดของโควิด-19 เป็นการป้องกันตนเองตามที่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์และผู้เชี่ยวชาญซึ่งเป็นสิ่งที่เราสามารถทำเองได้
แต่การปกป้องตัวเองด้วยวัคซีนนั้นนอกเหนือจากความสามารถของเรา จึงอยากเรียกร้องไปถึงผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องให้ช่วยพิจารณาและจัดหาวัคซีนให้เพียงพอสำหรับประชาชน ถึงแม้ว่าวัคซีนอาจไม่จำเป็นสำหรับประชาชนส่วนหนึ่งแล้ว แต่ยังคงมีความจำเป็นสำหรับกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรังและประชาชนกลุ่มเสี่ยงอยู่
ภาครัฐควรให้ความสำคัญกับการสร้างเสริมสุขภาพและการป้องกันโควิด-19 ด้วยการสนับสนุนวัคซีนเข็มกระตุ้น โดยเฉพาะกับผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ปัจจุบันเราเผชิญปัญหา 1. การเข้าไม่ถึงบริการ เข้าไม่ถึงวัคซีน 2. หากเข้าถึง ก็ต้องกู้หนี้ยืมสิน ต้องล้มละลายเพื่อจะได้รับยา ถ้าภาครัฐเล็งเห็นความสำคัญและอยากให้คุณภาพชีวิตของประชาชนคนไทยดี อยากให้คุณภาพของชีวิตของผู้ป่วยดี ลดภาวะเสี่ยงกับการเจ็บป่วยหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาล ซึ่งเมื่อติดโควิด 1 ครั้ง ต้องไปนอนโรงพยาบาล 7 ถึง 14 วัน
“ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลคิดเป็นเงินเท่าไหร่ ทั้งค่ายา ค่าแพทย์ ค่าอุปกรณ์ทางการแพทย์ เป็นเงินมหาศาลเมื่อเทียบกับวัคซีนที่มีราคาถูกกว่า”นายธนพลธ์ กล่าว