Thaioil Weekly Oil Market and Outlook as of 27 December 2021
ราคาน้ำมันดิบทรงตัว จากความกังวลต่อการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน ท่ามกลางอุปทานน้ำมันดิบที่อยู่ในระดับต่ำ
ไทยออยล์คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 71-76 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 74-79 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
แนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบ (27 - 30 ธ.ค. 64)
ราคาน้ำมันดิบทรงตัวจากความกังวลของการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน ที่มีการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วกว่าสายพันธุ์อื่น จนทำให้หลายประเทศในยุโรปประกาศใช้มาตรการจำกัดการเดินทาง เพื่อควบคุมการแพร่ระบาด อย่างไรก็ตาม ราคาก๊าซธรรมชาติที่อยู่ในระดับสูงเนื่องจากปริมาณความต้องการใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้า ทดแทนก๊าซธรรมชาติ ขณะที่อุปทานน้ำมันมีแนวโน้มลดลง หลังปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของกลุ่มโอเปคพลัสเพิ่มขึ้นน้อยกว่าข้อตกลง ประกอบกับปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ที่อยู่ในระดับต่ำ
ปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้:
- การแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในหลายประเทศ และอาจส่งผลกระทบต่อปริมาณความต้องการใช้น้ำมัน หลังหลายประเทศ อาทิเช่น เยอรมนี ไอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ และเกาหลีใต้ เริ่มบังคับใช้มาตรการล็อคดาวน์ เพื่อจำกัดการเดินทางและควบคุมการแพร่ระบาดอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบได้รับแรงสนับสนุนหลังสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐฯ (FDA) อนุญาตการใช้ Paxlovid ซึ่งเป็นยาเม็ดต้านไวรัสโควิด-19 ของ Pfizer ในการรักษาโควิด-19 สำหรับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป โดยผลการทดลองพบว่ายาเม็ดดังกล่าวมีประสิทธิภาพกว่า 90% ในการป้องกันการเสียชีวิตและป้องกันไม่ให้เกิดอาการรุนแรงจนต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล
- ปริมาณความต้องการใช้น้ำมันมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูหนาว หลังราคาก๊าซธรรมชาติยังทรงตัวในระดับสูง ทำให้หลายประเทศในยุโรปหันมาใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงเพื่อผลิตไฟฟ้าแทนการใช้ก๊าซธรรมชาติเพิ่มมากขึ้น โดยนักวิเคราะห์คาดว่าราคาก๊าซธรรมชาติจะทรงตัวในระดับสูงต่อเนื่องอีกหลายเดือนเนื่องจากปริมาณความต้องการใช้น้ำมัน
- กำลังการผลิตโรงกลั่นน้ำมันจีนในเดือน พ.ย. 64 เพิ่มสูงขึ้นอยู่ที่ระดับ 14.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน นับเป็นระดับสูงสุดในรอบ 5 เดือน โดยเพิ่มขึ้นมาจากโรงกลั่น Rongsheng Phase 2 ขนาด 400 ล้านบาร์เรลต่อวัน ที่เริ่มดำเนินการผลิต หลังได้รับโควต้านำเข้าน้ำมันดิบเพิ่มเติม และปริมาณความต้องการใช้น้ำมันเริ่มฟื้นตัว โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ากำลังการผลิตโรงกลั่นจีนเฉลี่ยใน ปี 64 จะอยู่ที่ระดับ 14.1 ล้านบาร์เรลต่อ เพิ่มขึ้นเล็กน้อยราว 660,000 บาร์เรลต่อวัน เมื่อเทียบกับปี 63 และคาดว่ากำลังการผลิตโรงกลั่นจะทรงตัวระดับสูงต่อเนื่องจนถึงไตรมาส 1 ปี 65
- อุปทานน้ำมันดิบมีแนวโน้มตึงตัวต่อเนื่อง หลังกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันดิบและพันธมิตร หรือกลุ่มโอเปคพลัส ปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบน้อยกว่าข้อตกลง เนื่องจากหลายประเทศไม่สามารถผลิตได้ตามเป้าหมาย เพราะการลงทุนด้านการขุดเจาะที่มีอยู่จำกัด และการซ่อมบำรุงแท่นขุดเจาะที่ยังไม่แล้วเสร็จ ล่าสุดความร่วมมือการปรับลดกำลังการผลิต (Compliance rate) ของกลุ่มโอเปกพลัสในเดือน พ.ย. 64 ปรับเพิ่มขึ้น 1% จากเดือนก่อนหน้า สู่ระดับ 117%
- ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากปริมาณความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มขึ้นในช่วงฤดูหนาว และมาตรการลดภาระด้านภาษีในช่วงปลายปี หลังสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ณ สัปดาห์สิ้นสุด 17 ธ.ค. 64 ปรับลดลง 4.7 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 423.6 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่คาดว่าจะลดลงเพียง 2.7 ล้านบาร์เรล
- Baker Hughes รายงานจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบและก๊าฐธรรมชาติสหรัฐฯ ณ สัปดาห์สิ้นสุด 17 ธ.ค. 64 ปรับเพิ่มขึ้น 3 แท่น แตะระดับ 579 แท่น ซึ่งนับเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่เดือน เม.ย. 63
- เกาหลีใต้ มีแผนที่จะปล่อยน้ำมันจากคลังสำรองน้ำมันเชิงยุทธศาสตร์จำนวน 3.17 ล้านบาร์เรล ภายในไตรมาส 1 ปี 65 ประกอบด้วยน้ำมันดิบราว 2.08 ล้านบาร์เรล จะเป็นการขายให้กับโรงกลั่นภายในประเทศ และน้ำมันสำเร็จรูปราว 1.09 ล้านบาร์เรลจะเป็นขายผ่านการประมูล เพื่อลดความร้อนแรงของราคาน้ำมัน และตอบสนองกับปริมาณความต้องการใช้น้ำมันที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูหนาว โดยปริมาณน้ำมันดังกล่าว คิดเป็นเพียง 3% ของปริมาณคลังสำรองน้ำมันเชิงยุทธศาสตร์ราว 97 ล้านบาร์เรล
- เศรษฐกิจที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตจีน เดือน ธ.ค. 64 ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมญี่ปุ่น เดือน พ.ย. 64
สรุปสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์ที่ผ่านมา (20 - 24 ธ.ค. 64)
ราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสในสัปดาห์ที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น 2.93 ดอลลาร์สหรัฐฯ มาอยู่ที่ 73.79 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เช่นเดียวกันกับราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับเพิ่มขึ้น 2.62 ดอลลาร์สหรัฐฯ มาอยู่ที่ 76.14 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบดูไบปิดเฉลี่ยอยู่ที่ 74.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เนื่องจากความกังวลต่อการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน ที่ทำให้หลายประเทศเริ่มประกาศใช้มาตรการล็อคดาวน์และจำกัดการเดินทาง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อปริมาณความต้องการใช้น้ำมัน อย่างไรก็ตาม ราคาก๊าซธรรมชาติที่อยู่ในระดับสูง เป็นปัจจัยหนุนให้โรงไฟฟ้าเปลี่ยนมาใช้เชื้อเพลิงจากน้ำมันแทนที่ก๊าซธรรมชาติ