คลังเล็งนำAIคัดกรองผู้ถือบัตรคนจน

คลังเล็งนำAIคัดกรองผู้ถือบัตรคนจน

คลังเผย เตรียมนำเทคโนโลยี AI ร่วมตรวจสอบผู้มีสิทธิ์ถือบัตรคนจนในการลงทะเบียนรอบใหม่ คาดจะมีจำนวนผู้ถือบัตรราว 15 ล้านคน หลังจากโควิด-19 ระบาดทำให้คนจนเพิ่มมากขึ้น

นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังเปิดเผยว่ากระทรวงการคลังจะนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในการตรวจสอบการลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อคัดกรองคนที่ไม่จนจริงออกจากระบบ ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง อยู่ในระหว่างการเตรียมการเพื่อลงทะเบียนผู้มีสิทธิ์ได้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ภายในปีนี้

เขากล่าวว่า การลงทะเบียนในรอบนี้ จะนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในการคัดกรองคนที่สมควรได้รับสิทธิ์ โดยระบบจะสามารถเชื่อมโยงกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อตรวจสอบข้อมูลของผู้ลงทะเบียน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบัญชีเงินฝากในธนาคาร ซึ่งตามเกณฑ์แล้วจะต้องมีไม่เกิน 1 แสนบาท,ที่ดิน,ที่อยู่อาศัย และอื่นๆ แบบเรียลไทม์

เขาคาดด้วยว่า การลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งถือเป็นนโยบายที่สำคัญของรัฐบาลชุดนี้ ในรอบใหม่นี้ จะมีคนได้รับสิทธิ์ ราว 14-15 ล้านคน ซึ่งคาดว่า จะเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่มีอยู่ 14.6 ล้านคน โดยผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่กระทบต่อรายได้ต่อคนในระดับรากหญ้า

ผลกระทบของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อคนรากหญ้าหรือคนจนอย่างมาก เพราะขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพเพิ่มขึ้น แต่รายรับกลับไม่เพิ่มขึ้น หรือบางราย ที่เคยมีเงินในบัญชีธนาคาร เกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนดซึ่งไม่ได้รับสิทธิ์ได้รับบัตรสวัสดิการ แต่พอมาปีนี้ อาจมีเงินในบัญชีต่ำกว่าเกณฑ์ ทำให้ได้รับสิทธิ์ก็ได้”

ก่อนหน้านี้นายสันติ เคยกล่าวว่า กระทรวงการคลังจะนำเกณฑ์รายได้ครอบครัวมาใช้ในการลงทะเบียนครั้งนี้ จากปัจจุบันที่ใช้เกณฑ์รายได้ส่วนบุคคลที่ไม่เกิน 1 แสนบาทต่อปี เป็นเกณฑ์ได้รับสิทธิ์ ซึ่งเกณฑ์รายได้ครอบครัวจะกำหนด ไม่เกิน 2 แสนบาท จะได้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ

ทั้งนี้ นโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ถือเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลพรรคพลังประชารัฐ ที่กำหนดให้คนไทยทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป มีสิทธิ์ได้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ภายใต้เงื่อนไขหลักเกณฑ์ที่กำหนด

โดยผู้ถือบัตรจะได้รับวงเงินในบัตรรายละ 300 บาท กรณีที่มีรายได้ต่อปีไม่เกิน 3 หมื่นบาท และได้รับวงเงิน 200 บาท กรณีมีรายได้เกิน 3 หมื่นบาทแต่ไม่เกิน 1 แสนบาท รวมถึง วงเงินค่าใช้จ่ายในการเดินทางโดยขนส่งสาธารณะอีกคนละ 500 บาท เป็นต้น