DELTA ประมาณการ 4Q64F: เกาะไปกับกระแสโลก

DELTA ประมาณการ 4Q64F: เกาะไปกับกระแสโลก

เราคาดว่ากำไรสุทธิของ DELTA ใน 4Q64F จะอยู่ที่ 2.1 พันล้านบาท (+35% YoY, +80% QoQ) แต่หากไม่รวมรายการพิเศษ เราคาดว่ากำไรจากธุรกิจหลักใน 4Q64F จะอยู่ที่ 2.1 พันล้านบาท (+31% YoY,+54% QoQ) ส่งผลให้กำไรจากธุรกิจหลักในปี 2564F อยู่ที่ 6.5 พันล้านบาท (-5% YoY)

เราคาดว่ายอดขายจะอยู่ที่ 703 ล้านดอลลาร์ฯ (+20% YoY, +10% QoQ) เนื่องจากการผลิตราบรื่นมากขึ้นหลัง
เหตุการณ์น้ำท่วมโรงงานที่บางปู ซึ่งจะทำให้ยอดขายในปี 2564F อยู่ที่ 2.6 พันล้านดอลลาร์ฯ (+31%YoY) เราคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะอยู่ที่ 22.3% (+0.1ppts YoY, +3.1ppts QoQ) เนื่องจาก i) โครงสร้างยอดขายดีขึ้น (การผลิตราบรื่นมากขึ้น) ii) เงินบาทอ่อนค่าลง (อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยใน 4Q64 อยู่ที่ 33.3 บาท/ดอลลาร์ฯ จาก 30.7 บาท/ดอลลาร์ฯ ใน 4Q63 และ 32.6 บาท/ดอลลาร์ฯ ใน 3Q64) แต่จะถูกหักล้างไปบางส่วนโดยต้นทุนวัตถุดิบที่แพงขึ้น เราคาดว่าสัดส่วน SG&A ต่อยอดขายจะยังทรงตัวอยู่ที่ 13.2%ใน 4Q64F เนื่องจากต้นทุน logistic อยู่ในระดับสูง

 

กระแส mega trends จะช่วยหนุนให้กำไรโตได้อย่างแข็งแกร่ง

เราคาดว่า DELTA จะได้อานิสงส์จากกระแส mega trends ทั้งในด้านของ 5G, IoT และ HPC, และ EVs
เนื่องจากประมาณ 40% ของรายได้รวมมาจากสินค้าประเภทดังกล่าว (25% เกี่ยวข้องกับ data center และ
15% เกี่ยวข้องกับกลุ่มยานยนต์) ทั้งนี้ เนื่องจากเราคาดว่า server จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งถึง 8-10% ในปี
2565-66 และคาดว่าอัตราการใช้รถ EV จะเร่งตัวขึ้นจาก 8% ในปี 2564 เป็น 21% ในปี 2568F ดังนั้น เรา
จึงคาดว่ายอดขายของ DELTA น่าจะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง (~15% ต่อปีในปี 2565-2566) และเมื่อประกอบกับโครงสร้างยอดขายที่เอื้อ และ เงินบาทที่อ่อนค่าลง เราจึงคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นของ DELTA ในปี 2565F จะอยู่ที่ 23.0% และปี 2566F จะอยู่ที่ 23.2% ทั้งนี้ เราได้ทบทวนสมมติฐานยอดขาย,อัตรากำไรขั้นต้น และ อัตราแลกเปลี่ยนใหม่ แต่ด้วยผลการดำเนินงานที่อ่อนแอกว่าคาดในปี 2564 ส่งผลให้เรามีการปรับลดประมาณการกำไรจากธุรกิจในปี 2564F ลง 17% และปี 2565F ลง 14% แต่อย่างไรก็ตาม เรายังคงคาดว่ากำไรปกติของ DELTA จะโตอย่างมีนัยสำคัญถึง 54% YoY ในปี 2565F และ 20% ในปี 2566F

 

 

 

 

 

Valuation & action
 

เนื่องจาก DELTA อยู่ในตำแหน่งที่ดีที่จะเกาะตามกระแส mega trends ดังนั้น เราจึงให้ premium กับ PER ที่ 59.0x (คิดเป็น PEG ที่ 1.1x จากอัตราการเติบโตของ EPS ปี 2565) ทำให้ได้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2565 ที่ 480 บาท เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 320 บาท ดังนั้น เราจึงปรับเพิ่มคำแนะนำจาก “ขาย” เป็น “ซื้อ”

 

Risks

ภัยธรรมชาติ, มีการปิดโรงงานนอกแผน, ลูกค้าเปลี่ยนไปสั่งสินค้าจาก supplier รายอื่น, ขาดแคลนวัตถุดิบ, เงินบาทแข็งค่าขึ้น (เราใช้สมมติฐานอัตราแลกเปลี่ยนปี 2565-66 ที่ 33.50 บาท/ดอลลาร์ฯ)