ส.อ.ท. แถลงส่งออกรถยนต์เดือน ธ.ค. 64 สูงสุดในรอบ 9 เดือน
ส.อ.ท. เผยส่งออกรถยนต์ เดือน ธ.ค. 2564 ทะลุ 101,307 คัน เพิ่มขึ้น 47.93% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ด้วยปัญหาขาดแคลนชิพคลี่คลายช่วงท้ายปี ปลื้มยอดผลิตทั้งปีเกินเป้าได้ 1.68 ล้านคัน
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า เดือน ธ.ค.2564 รวมส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป 101,307 คัน สูงสุดในรอบ 9 เดือน เพิ่มขึ้น 47.93% จากปี 2563 เนื่องจากได้รับจัดสรรชิพมากขึ้นในช่วงสิ้นปี เมื่อได้รับแล้วจึงนำมาประกอบใส่ภายหลัง ทำให้จากปกติในเดือน ธ.ค. มักจะมียอดส่งออกน้อย จึงมียอดการส่งออกมากถึง 1 แสนคัน
ทั้งนี้ ตัวเลขการส่งออกเพิ่มขึ้นทุกตลาด โดยเฉพาะตลาดออสเตรเลียและโอเชียเนีย เพิ่มขึ้น 101.5% ตลาดยุโรป เพิ่มขึ้น 64.96% ตลาดอเมริกาเหนือ เพิ่มขึ้น 54.99% ตลาดอเมริกากลางและอเมริกาใต้ เพิ่มขึ้น 121.87% จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า และยังส่งออกเครื่องยนต์ ชิ้นส่วนประกอบรถยนต์เพิ่มขึ้นจากการผลิตรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นของประเทศคู่ค้า
สำหรับยอดการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปเดือน ม.ค.-ธ.ค. 2564 รวม 959,194 คัน เพิ่มขึ้น 30.35% จากปี 2563 โดยมีมูลค่าส่งออกรวม 826,726.83 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39.67%
ด้านยอดผลิตรถยนต์ทั้งหมดในเดือน ธ.ค.64 มีทั้งสิ้น 154,368 คัน เพิ่มขึ้น 7.89% จากปี 2563 ส่งผลให้การผลิตรถยนต์รวมตลอดปี 2564 เกินเป้าที่ตั้งไว้ 1.6 ล้านคัน อยู่ที่ 1,685,705 คัน เพิ่มขึ้น 18.12%
สำหรับยอดขายรถยนต์ในประเทศเดือน ธ.ค. 2564 มีทั้งสิ้น 86,145 คัน สูงสุดในรอบ 12 เดือน แต่น้อยลง 17.2% จากปี 2563 เนื่องจากการระบาดของโควิด-19 และปัญหาขาดแคลนชิพที่ทำให้ต้องหยุดการผลิตรถยนต์บางรุ่นเป็นระยะ
อย่างไรก็ตามยอดขายรถยนต์ทั้งปี 2564 ยังคงสูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 7.5 แสนคัน อยู่ที่ 759,119 คัน ผลจากมาตรการภาครัฐที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ อาทิ การคลายล็อกดาวน์ โครงการคนละครึ่ง ยิ่งใช้ยิ่งได้ เราเที่ยวด้วยกัน รวมถึงการจัดมหกรรมยานยนต์ในช่วงปลายปี
ทั้งนี้ ส.อ.ท. ได้ตั้งเป้าการผลิตรถยนต์ในปี 2565 ไว้ที่ 1.8 ล้านคัน โดยแบ่งเป็นการผผลิตเพื่อส่งออก 1 ล้านคัน และผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 8 แสนคัน หากมีการผ่อนคลายล็อกดาวน์ เปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวกลับมาซึ่งจะทำให้ภาคธุรกิจการท่องเที่ยวมีรายได้ดีขึ้น รวมทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐเพื่อช่วยเหลือประชาชน อย่างไรก็ตามยังคงต้องจับตาปัจจัยเสี่ยงหลายด้าน อาทิ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ราคาวัตถุดิบและชิพที่เพิ่มสูงขึ้น และปัญหาการชะงักของห่วงโซ่การผลิต เป็นต้น