WHA Group เผยลงทุน 50,000 ล้าน ตั้งเป้าโต 1.75 เท่า ใน 5 ปี
ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ตั้งงบลงทุน 50,000 ล้านบาท ครอบคลุม 4 กลุ่มธุรกิจ พร้อมคาดการณ์รายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงานปกติแตะระดับ 21,000 ล้านบาทในปี 2569 หรือ 1.75 เท่าจากปี 2564
ในปี 2564 ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป เผยผลประกอบการรายได้โต 28% ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย บริษัทฯ มีรายได้และส่วนแบ่งกำไรรวม 12,000 ล้านบาท พร้อมสินทรัพย์รวมแตะ 83,000 ล้านบาท และคงอันดับเครดิตองค์กรที่ระดับ A-
โดยในปีที่ผ่านมา 4 กลุ่มธุรกิจของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป มีการเติบโต โดยมีโครงการใหม่ พันธมิตรใหม่ ผลิตภัณฑ์ใหม่ ดังนี้
โครงการใหม่ “ดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ เทพารักษ์ กม.21” คลังสินค้าที่ใหญ่ที่สุดของบริษัทฯ ซึ่งมีพื้นที่อาคารรวม 400,000 ตารางเมตร และการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 (WHA RY36) เนื้อที่รวม 1,280 ไร่ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้รับใบรับรองการจดทะเบียนการลงทุนสำหรับการสร้างเขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล โซน - เหงะอาน เฟส 2 เนื้อที่ 2,200 ไร่ ในเวียดนามอีกด้วย
ในด้านผลิตภัณฑ์ใหม่ มีการจัดจำหน่ายก๊าซไนโตรเจนผ่านท่อส่งให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมในนิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด (ระยอง) รวมถึงการเปิดตัวโครงการพลังงานแสงอาทิตย์พร้อมระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) ที่โรงกรองน้ำในนิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด (ระยอง)
อีกทั้งมีการพัฒนาแพลตฟอร์มการซื้อขายไฟฟ้าแบบ Peer-to-Peer โดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนเพื่อขายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ให้แก่ลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ และโซลูชันอาคารสำนักงานใหม่ 6 ทำเลทอง ในกรุงเทพฯ และสมุทรปราการ รวมพื้นที่กว่า 100,000 ตารางเมตร
พันธมิตรใหม่ บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมกับนิคมอุตสหกรรมเอเชีย ให้บริการน้ำรีไซเคิลและน้ำปราศจากแร่ธาตุ แก่ลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมเอเชีย (มาบตาพุด) ประเดิมลูกค้ารายแรกเป็นโรงงานผลิตเคมีภัณฑ์ ภายใต้อายุสัญญา 15 ปี โดยมีกำลังการผลิตกว่า 1 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี
ด้านการลงทุนใหม่ อาทิ การลงทุนใน Giztix สตาร์ทอัพชั้นนำด้าน e-Logistic ที่ให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัล เพื่อเชื่อมต่อผู้ประกอบการด้านขนส่งและโลจิสติกส์ กับผู้ใช้บริการจากทั่วประเทศ ด้วยเงินลงทุน 150 ล้านบาท และการเข้าซื้อหุ้น 29.40% ในบริษัท สตอเรจ เอเชีย จำกัด ผู้ให้บริการให้เช่าพื้นที่จัดเก็บทรัพย์สินส่วนบุคคล ภายใต้แบรนด์ “i-Store Self Storage”
นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สำหรับทิศทางแผนธุรกิจในปี 2565 และอนาคต ตั้งเป้าหมายทรานส์ฟอร์มแกนหลักของธุรกิจสู่ดิจิทัล โดยริเริ่ม 33 โครงการ ในปี 2564 ครอบคลุมธุรกิจของบริษัทฯ ในทุกด้าน โดยมุ่งหวังที่จะนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้พัฒนาความมั่นคงและประสิทธิภาพของการดำเนินงาน และสร้างความแตกต่างให้กับผลิตภัณฑ์และบริการของบริษัทฯ
โดยก้าวต่อไปของการทรานสฟอร์มสู่ดิจิทัลคือ การใช้เทคโนโลยีเพื่อหาแหล่งรายได้ใหม่ๆ จากผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นนวัตกรรมใหม่ และการใช้ข้อมูลเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนโรดแมปของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ที่ตั้งเป้าหมายจะก้าวเป็นบริษัทเทคโนโลยีให้ได้ภายในปี 2567
สำหรับงบลงทุน 50,000 ล้านบาท ที่ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ได้ตั้งไว้สำหรับการลงทุนภายใน 5 ปี นั้น ประกอบด้วย งบลงทุนสำหรับธุรกิจโลจิสติกส์ 18,000 ล้านบาท ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม 18,000 ล้านบาท ธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน 10,000 ล้านบาท และอีก 4,000 ล้านบาท สำหรับการลงทุนในธุรกิจดิจิทั ธุรกิจสตาร์ทอัพและเทคโนโลยี เพื่อขับเคลื่อนดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะและทรานสฟอร์มองค์กรสู่บริษัทเทคโนโลยีอย่างสมบูรณ์
แผนธุรกิจโลจิสติกส์
ดับบลิวเอชเอ โลจิสติกส์ มุ่งขยายธุรกิจในประเทศไทย พร้อมมองหาโอกาสใหม่ ๆ ในเวียดนาม โดยในไทย ตั้งเป้าที่จะขยายพื้นที่ให้บริการให้ครอบคลุมมากขึ้นในเชิงภูมิศาสตร์ รวมทั้งตอบโจทย์ความต้องการใหม่ ๆ ในทำเลยุทธศาสตร์ใน 3 จังหวัดอีอีซี (ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง)
โดยจะขยายพอร์ทผลิตภัณฑ์ด้านโลจิสติกส์ให้ครอบคลุม ตั้งแต่อาคารคลังสินค้าแบบ Built-to-Suit และคลังสินค้าแบบทั่วไป ไปจนถึงอาคารคลังสินค้าที่มีขนาดเล็กลง เพื่อรองรับความต้องการขององค์กรขนาดย่อมและธุรกิจ SME และตอบโจทย์เซ็กเมนท์ที่กำลังเติบโตกลุ่มนี้
ส่วนในต่างประเทศ จะให้ความสำคัญกับเทรนด์ใหม่ๆ เพื่อเก็บเกี่ยวและใช้ประโยชน์จากขีดความสามารถที่มีอยู่ของดับบลิวเอชเอในเวียดนาม โดยให้ความสำคัญกับความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในระยะยาวกับพันธมิตรระดับภูมิภาคและระดับโลกทั้งรายใหม่และที่มีอยู่แล้ว เน้นไปที่อุตสาหกรรมที่มีการเติบโตสูงอย่างธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ธุรกิจดูแลสุขภาพ และธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค
ทั้งนี้ เพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของผลิตภัณฑ์และบริการ บริษัทจะนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมอัจฉริยะที่ขับเคลื่อนด้วย AI IoT Big Data ระบบอัตโนมัติ และวิทยาการหุ่นยนต์ มาปรับใช้งาน และมองหาโอกาสใหม่ ๆ ในเมตาเวิร์ส เทคโนโลยีควอนตัม และระบบขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย
นอกจากนี้ ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป เดินหน้าขยาย Office Solution ของบริษัทฯ ประกอบด้วยอาคารสำนักงาน 6 แห่งในทำเลทอง พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันและการออกแบบชั้นเยี่ยมในกรุงเทพฯ และสมุทรปราการ โดยมีกลุ่มผู้เช่าเป้าหมาย ตั้งแต่กลุ่มสตาร์ทอัพที่กำลังเริ่มก่อตั้งธุรกิจ ไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ที่มั่นคงแล้ว
โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าคว้าโครงการและสัญญาใหม่ ๆ ในปี 2565 ให้ได้ 180,500 ตารางเมตร และยังมีสัญญาเช่าระยะสั้นอีก 100,000 ตารางเมตร และคาดว่าจะมีทรัพย์สินภายใต้กรรมสิทธิ์และการบริหารรวมทั้งสิ้น 2,685,000 ตารางเมตร
ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม
ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ (WHAID) ยืนหยัดเป็นผู้นำในไทยและขยายธุรกิจในเวียดนามอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่า WHAID จะได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตจากประเทศจีน อันเป็นผลจากความตึงเครียดทางการค้า ค่าแรง หรือการขาดแคลนพลังงาน ดังจะเห็นได้จากสัดส่วนลูกค้าชาวจีนของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา จำนวนกว่า 50% ของยอดขายที่ดินทั้งหมด
รวมทั้ง ยังมองเห็นความต้องการที่ดินจากลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมมูลค่าสูงโดยเฉพาะในกลุ่ม 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) หรือกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ อาหาร และด้านการแพทย์
ในช่วง 5 ปีข้างหน้า WHAID มีแผนที่จะพัฒนานิคมอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น โดยในปี 2565 เตรียมขยายนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเออีสเทิร์นซีบอร์ด 4 เพิ่มอีก 580 ไร่ ซึ่งได้เริ่มการก่อสร้างแล้วในไตรมาสที่ 4 ปี 2564 ที่ผ่านมา และการก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง เฟสแรก 1,100 ไร่ ที่เป็นโครงการร่วมทุนกับบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด ซึ่งกำหนดจะเริ่มพัฒนาในปลายปี 2565
นอกจากนี้ WHAID จะเสนอผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มรายได้ประจำ (recuring income) และลดการพึ่งพาการขายที่ดิน เช่น การจัดส่งก๊าซไนโตรเจน โดยบริษัท บีไอจี ดับบลิวเอชเอ อินดัสเทรียลแก๊ส จำกัด (BIG WHA) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง WHAID กับ บริษัท บางกอกอินดัสเทรียลแก๊ส จำกัด เปิดให้บริการแล้วที่นิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด (ระยอง) และจะนำเสนอผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมก๊าซชนิดอื่นๆ รวมถึงมีแผนการจะขยายพื้นที่ให้ครอบคลุมนิคมอุตสาหกรรมอื่นๆ ด้วย
สำหรับในประเทศเวียดนาม WHAID จะต่อยอดความสำเร็จของโครงการเหงะอาน เพื่อขยายธุรกิจของบริษัทไปสู่ระดับประเทศ โดยเขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล โซน เหงะอาน เฟส 1 พื้นที่ 900 ไร่ ได้ก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค และการดูแลสิ่งแวดล้อมคุณภาพสูงสุด โดยมีนักลงทุนจากฮ่องกง ญี่ปุ่น ไทย จีน และเวียดนาม จากอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่าพื้นที่แล้วกว่าครึ่งหนึ่ง
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนที่จะเร่งพัฒนาเฟสต่อไป ซึ่งรวมถึงเฟสที่ 2 พื้นที่ 2,200 ไร่ ที่มีกำหนดว่าจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างในไตรมาสที่ 1 ปี 2565 โดยเมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จ รวมทั้งเฟส 1, 2 และส่วนต่อขยาย เขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล โซน เหงะอาน จะมีพื้นที่โดยรวมทั้งสิ้น 11,550 ไร่
นอกจากนี้ ภายหลังจากมีการลงนามในบันทึกข้อตกลงเมื่อเดือนธันวาคม 2563 กับคณะกรรมการประชาชนจังหวัดทัญฮว้า WHAID มุ่งมั่นเดินหน้าพัฒนาเขตอุตสาหกรรมใหม่อีก 2 แห่ง ได้แก่ โครงการ “WHA Smart Technology Industrial Zone - Thanh Hoa” ซึ่งอยู่ใกล้กับเมืองหลักของจังหวัด มุ่งตอบโจทย์ความต้องการจากนักลงทุนด้านเทคโนโลยีมูลค่าสูง
และโครงการ “WHA Northern Industrial Zone - Thanh Hoa” ตั้งอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ใกล้กับศูนย์ปิโตรเคมี Nghi Son จะมุ่งเจาะกลุ่มเป้าหมายอุตสาหกรรมกลางน้ำและปลายน้ำ โดยคาดว่าการย้ายชุมชนและการก่อสร้างจะเริ่มดำเนินการในปี 2566 และ 2567 ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีข้อจำกัดด้านการเดินทางในปี 2564 แต่ยอดขายที่ดินทั้งในประเทศไทยและเวียดนามยังสูงถึง 855 ไร่ และด้วยกิจกรรมการพัฒนาลูกค้าที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง จึงคาดการณ์ว่าในปี 2565 ยอดขายที่ดินจะเพิ่มขึ้นราว 46% แตะ 1,250 ไร่ ทั้งในประเทศไทยและเวียดนาม
ธุรกิจสาธารณูปโภค
ในส่วนธุรกิจสาธารณูปโภค ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตีส์ แอนด์ พาวเวอร์ (WHAUP) มุ่งพัฒนาและริเริ่มโซลูชันพลังงานหมุนเวียนใหม่ ๆ โดยเฉพาะโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ และนำเสนอผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม อาทิ Wastewater Reclamation และน้ำปราศจากแร่ธาตุ (Demineralized water) ให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรม ทั้งภายในและภายนอกนิคมฯ อาทิ ผู้พัฒนาที่ดินอุตสาหกรรมรายอื่น เทศบาลเมือง และชุมชนต่างๆ
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะขยายธุรกิจน้ำในแนวดิ่งให้เติบโตมากขึ้น โดยการสำรวจหาแหล่งน้ำดิบทางเลือกต่าง ๆ เพื่อความมั่นคงและลดต้นทุนในการซื้อน้ำดิบ และยังได้นำแพลตฟอร์ม “Smart Utilities Services” และ “Innovative Solution” มาให้บริการแก่ลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรม
ส่วนในประเทศเวียดนาม ที่บริษัทถือหุ้นอยู่ในบริษัทน้ำสองแห่ง WHAUP ยังมองหาโครงการใหม่ ๆ รวมถึงโอกาสในการลงทุนเข้าซื้อกิจการ (M&A) เพิ่มเติมอีกด้วย โดยในปีนี้คาดว่าจะมีปริมาณการจำหน่ายและบริหารน้ำสูงถึง 128 ล้านลูกบาศก์เมตรในประเทศไทย และ 25 ล้านลูกบาศก์เมตรในเวียดนาม
สำหรับธุรกิจด้านพลังงาน WHAUP เตรียมพร้อมเดินหน้าพัฒนาโซลูชั่นพลังงานสะอาดและเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าให้มากขึ้น ทั้งจากโครงการโซลาร์รูฟท็อปและโครงการผลิตไฟฟ้าจากขยะ โดยตั้งเป้าหมายสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ที่ลงนามแล้ว 150 เมกะวัตต์ภายในสิ้นปี 2565
นอกจากนี้ บริษัทยังเตรียมนำเทคโนโลยีนวัตกรรมใหม่ ๆ เช่น ระบบการซื้อขายไฟฟ้าแบบ Peer-to-Peer (P2P) และระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ Smart Microgrid มาใช้ในนิคมอุตสาหกรรม โดยคาดว่าในปี 2565 จะมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ตามสัดส่วนการถือหุ้นสูงถึง 700 เมกะวัตต์
ธุรกิจดิจิทัล
ดับบลิวเอชเอ ดิจิทัล แพลตฟอร์ม จะเป็นผู้เสริมแกร่งการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ด้วยการเดินหน้าวางโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเป็นผู้นำในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในทุกกลุ่มธุรกิจ
ทั้งนี้ ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป มีแผนที่จะจัดตั้งบริษัทใหม่ขึ้น เพื่อเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงด้านดิจิทัลและนำนวัตกรรมรวมถึงเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในทุกกลุ่มธุรกิจของดับบลิวเอชเอ โดยดับบลิวเอชเอ ได้มองหาธุรกิจสตาร์ทอัพ โดยเฉพาะบริษัทที่เติบโตขึ้นมาในประเทศ มาเป็นพันธมิตรด้านเทคโนโลยีที่สำคัญ
“เรามองปี 2565 ด้วยความมั่นใจและในด้านบวก เพราะเราเชื่อว่า ข้อจำกัดต่างๆ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะเริ่มคลี่คลาย โดยเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ในช่วงห้าปีข้างหน้า เราจะเดินหน้ากระบวนการทรานสฟอร์มธุรกิจทุกฮับของเราให้เป็นดิจิทัลต่อไป โดยใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะและนวัตกรรมเพื่อยกระดับการดำเนินงานของเราให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น"