ผันผวนตามผลประกอบการ ขณะที่เรามีมุมมองบวกต่อเงินเฟ้อสหรัฐฯ
แม้ตลาดอาจไม่ไปไหนไกลแต่ให้น้ำหนักกับบรรยากาศลงทุนเชิงบวก แนวโน้มการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นระยะสั้นอาจไม่ได้เคลื่อนไหวสอดคล้องกับหุ้นสหรัฐฯ มากนัก ขึ้นกับแนวโน้มการรายงานผลประกอบการของแต่ละประเทศ
ขณะที่ปัจจัยในภาพรวมที่อาจส่งผลต่อบรรยากาศลงทุนได้แก่ การรายงานตัวเลขเงินเฟ้อ ม.ค. สหรัฐฯ ในวันพฤหัส 10 ก.พ. ที่ Bloomberg concensus คาด 7.3% (จาก ธ.ค.ที่ 7.0%) เรามีมุมมองเชิงบวก โดยคาดว่าไม่ว่าเงินเฟ้อจะออกมาที่ตัวเลขไหน ก็มีโอกาสที่ตลาดจะมองเป็นบวก โดยเงินเฟ้อออกมามากกว่าคาด มีโอกาสที่จะเป็นตัวเลขในระดับใกล้จุดสูงสุด ขณะที่หากเงินเฟ้อออกมาต่ำกว่าคาด อาจเป็นสัญญาณของการทำจุดสูงสุดของเงินเฟ้อ ซึ่งจะทำให้นักลงทุนมองเห็นโอกาสเชิงบวกจากการที่เฟดจะสามารถลดระดับความเร็วของการดำเนินนโยบายตึงตัว (โดยเฉพาะเมื่อผลตอบแทนพันธบัตร 2 และ 10 ปี สะท้อนการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดไปในระดับ 4-5 ครั้งแล้ว)
กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ หุ้นใหญ่ยังทำผลงานได้ดี – เราคาดการณ์กำไรของกลุ่มในไตรมาส 4/64 ที่ 7.7 พันล้านบาท +43% QoQ และ +3% YoY จากการโอนโครงการโดยเฉพาะแนวราบ และอัตรากำไรที่ดีขึ้น ทั้งนี้เราคาด SPALI จะรายงานกำไรโดดเด่น เพิ่มขึ้น +44% QoQ และ +32% YoY และอุตสาหกรรมยังอยู่ในภาพของการฟื้นตัวแม้จะเผชิญการระบาดของโอไมครอน โดยเราให้ หุ้นเด่นในกลุ่มคือ AP และ SPALI
กลุ่มไฟฟ้า ระวังการปรับลดประมาณการ – หลังเรามีรายงานปรับลดน้ำหนักการลงทุนของกลุ่มลงเป็น “ต่ำกว่าตลาด” ตั้งแต่ 9 ธ.ค.64 เนื่องจากกังวลผลของาคาก๊าซธรรมชาติที่จะปรับขึ้นตามราคาน้ำมันจะกระทบกับผลประกอบการ โดยเฉพาะผู้ผลิตไฟฟ้าในกลุ่มขนาดเล็ก (SPP) โดยเฉพาะ GPSC และ BGRIM ซึ่งหุ้นทั้งสองปรับลงนับจากต้นปี YTD แล้ว -13.52% และ -14.20% ตามลำดับ ขณะที่ RATCH และ EGCO ทรงตัว (เนื่องจากเป็นผู้ผลิตขนาดใญ่ IPP ที่จะได้รับการชดเชยต้นทุน) ขณะที่ หุ้นเด่นของเราอย่าง GULF ปรับขึ้น +9.29% // ทั้งนี้ด้วยแนวโน้มราคาน้ำมันดิบที่ทรงตัวในระดับสูง ผลกระทบจากราคาก๊าซ (ซึ่งปรับช้ากว่าน้ำมัน 6 เดือน) จะต่อเนื่องไปยังผลประกอบการในช่วงไตรมาส 2-3/65 ทำให้ต้องระวังการปรับลดประมาณการกำไรและราคาเหมาสมของตลาดที่อาจจะเกิดขึ้นหลังการประกาศงบในช่วงนี้
ประเด็นเก็งกำไรอื่น 1) กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง การเปิดประมูลโครงการขนาดใหญ่ บวกต่อ CK, STEC, ITD, UNIQ 2) กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ ตลาดเก็งกำไรการเข้าสู่ธุรกิจใหม่เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิตอล และผลประกอบการปี 2564 ที่น่าจะเห็นการจ่ายปันผลในระดับที่ดี อย่างไรก็ตามยังมีความไม่ชัดเจนของภาพรายได้ปี 2565 อีกมาก การเก็งกำไรจึงควรกำหนจุดตัดขาดทุนทุกครั้ง KGI, ASP, CGH, FSS 3) กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เป็นกลุ่มที่มักจะเคลื่อนไหวได้ดีในภาวะเงินเฟ้อ อีกทั้ง valuation ต่ำ และปันผลสูง ทำให้มีโอกาสเห็นการฟื้นตัวของ LH, SPALI, AP, SC, ASW 4) กลุ่มบันเทิง ผลประกอบการมีแนวโน้มฟื้นตัวจากงบโฆษณาที่ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจ บวกต่อ ONEE, BEC, WORK, MONO 5) หุ้นเก็งกำไรทางเทคนิค อาทิ SFT, WFX, CV, UBE, VPO, CPI, TOP, GJS, RAM, IND, MAKRO
ภาพรวมกลยุทธ์: แกว่งตัวในกรอบ 1,650-1,685 จุด ยังคงมุมมองความผันผวนจะทยอยลดลงและบรรยากาศลงทุนรวมจะทยอยดีขึ้น แม้จิตวิทยาการลงทุนระยะสั้นอาจผันผวนตามรายงานผลประกอบการของหุ้นรายตัว รวมถึงหุ้นใหญ่ในสหรัฐฯ //หุ้นแนะนำ: TOP*, SPALI*, ONEE*, IND*
แนวรับ: 1,650-1,660 / แนวต้าน : 1,680-1,685 จุด สัดส่วน : เงินสด 50% : พอร์ตหุ้น 50%
ประเด็นการลงทุน
MSCI Rebalancing – ติดตามการทบทวนหุ้นเข้าออกดัชนี MSCI รอบแรกของปี วันที่ 9 ก.พ. (ทราบผลเช้า 10 ก.พ.) ว่าจะมีหุ้นใดเข้า-ออกดัชนีบ้าง และติดตามการปรับน้ำหนักการลงทุนของหุ้นไทย
สถานการณ์โควิด - สถานการณ์ระบาดในประเทศ ผู้ติดเชื้อเกินหมื่นรายเป็นวันที่ 4 ศูนย์ข้อมูลโควิด 19 รายงาน ผู้ติดเชื้อวันที่ 8 ก.พ. ที่ 10,398 ราย เกินหนึ่งหมื่นรายเป็นวันที่ 4 ต่อเนื่องกัน
BTS – กระทรวงมหาดไทยเสนอวาระต่ออายุสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวให้กับบริษัท ขนส่งมวลชนกรุงเทพ (BTSC) ที่เป็นบริษัทย่อยของ BTS โดยสัญญาใหม่มีอายุ 30 ปี เริ่มต้นหลังสิ้นสัมปทานเดิมวันที่ 4 ธ.ค.2572 ไปสิ้นสุด 4 ธ.ค.2602 ขณะที่จะนำไปสู่การแก้ปัญหา กทม.ค้างการชำระหนี้สินการเดินรถส่วนต่อขยาย ระยะ 3 ปี 9 เดือน วงเงิน 9.6 พันล้านบาท ที่ BTS ฟ้องเรียกค่าเสียหายกทม. 102 หมื่นล้านบาท
นายกฯคาดนทท.เข้าไทยกว่า 6 หมื่นราย – นายกฯคาดยอดนักท่องเที่ยวเข้าไทยกว่า 6 หมื่นรายหลังปลดล็อค Test&Go พร้อมเตรียมหารือเพื่อจัด Travel Bubble กับประเทศที่มีศักยภาพใช้เป็นกลยุทธ์ทางการท่องเที่ยว
ประเด็นติดตาม: 9 ก.พ. – ประชุมกนง., MSCI Rebalancing / 10 ก.พ. – US CPI / 11 ก.พ. – IEA Monthly Report
(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)