หุ้นโรงไฟฟ้าทรุดต้นทุนก๊าซขยับ -ราคาร่วง ปัจจัยกระทบลงทุน
ราคาพลังงานในช่วงนี้เจอแต่ทิศทางขาขึ้น ทั้งราคาน้ำมันและราคาก๊าซธรรมชาติ ซึ่งส่งผลกระทบต่อต้นทุนสินค้า ค่าขนส่ง รวมไปถึงต้นทุนค่าไฟจึงกดดันหุ้นโรงไฟฟ้าราคาทรุดต่อเนื่อง
หากอิงตามการคาดการณ์ของ Goldman Sachs มองว่าราคาน้ำมันมีโอกาสแตะ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ช่วงไตรมาส 3 และจะสูงสุด 120 ดอลาร์ต่อบาร์เรลปี 2566 ส่วนราคาก๊าซธรรมชาติกลุ่มปตท.คาดการณ์ว่าปีนี้จะเห็น 5.5-6 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู
ปัจจจุบันราคาพลังงานทั้งคู่ปรับตัวขึ้นมาต่อเนื่อง ซึ่งราคาน้ำมันจากสิ้นปี 2564 อยู่ที่ 78.61 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ปัจจุบัน (8 ก.พ.) อยู่ที่ 92 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 17 % เป็นการทำราคาสูงสุดในรอบ 7 ปี และราคาก๊าซธรรมชาติจากสิ้นปี 2564 อยู่ที่ 4.46 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู ปัจจุบันอยู่ที่ 4.45 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู
เฉพาะราคาก๊าซธรรมชาติอยู่ระดับ 4 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู ถือว่าทำราคาสูงสุดในรอบ 7 ปีเช่นเดียวกับราคาน้ำมัน ซึ่งธุรกิจที่ต้องใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นต้นทุนจำนวนมากคือ ผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่ (PPP)และขนาดกลาง (SPP)
โดยธุรกิจดังกล่าวใช้ต้นทุนพลังงานไฟฟ้าโดยเฉพาะก๊าซ LNG เป็นเชื้อเพลิงคิดเป็น 80% ของต้นทุนทั้งหมด รองลงมาจะเป็นต้นทุนการส่งต่อ (transmission) คิดเป็นประมาณ 20 สตางค์ต่อหน่วย และต้นทุนการกระจายและค้าปลีก (distribution และ detail) ประมาณ 50 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งเมื่อรวมทั้ง 2 ต้นทุนเข้าด้วยกันก็จะคิดเป็นประมาณ 70 สตางค์ต่อหน่วย
หุ้นโรงไฟฟ้าที่มีผลกระทบมากที่สุดจากธุรกิจหลักในกลุ่ม PPPและ SPP
ด้วยปัจจุบันมีผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าขยับไปยังธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าและดิจิทัลมากขึ้น ทั้งบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF จึงทำให้ราคาหุ้นกลับปรับตัวเพิ่มขึ้นแตกต่างจากหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้าเดียวกันอย่างชัดเจน
หุ้นโรงไฟฟ้าที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดในช่วงนี้ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM ซึ่งราคาหุ้นลดลงต่อเนื่องจากสิ้นปี 2564 ที่ 40.50 บาทมาอยู่ที่ 34.75 บาท,บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ที่ประกาศเข้าสู่ยายนต์ไฟฟ้าด้วยการลงทุนในธุรกิจแบตเตอรี่ส่งผลทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแต่ยังอยู่ในช่วงการสร้างโรงงาน จึงยังมีผลกระทบจากธุรกิจไฟฟ้าทำให้ราคาหุ้นเกือบแตะ 90 บาท ลงมาอยู่ที่ 75 บาท
บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO เปิดเผนเข้าสู่การลงทุนยายนต์ไฟฟ้าเช่นกัน โดยเฉพาะลงทุนบริษัม เพียร์ พาวเวอร์ จำกัด 24.24 % ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพธุรกิจการเงิน เข้าพัฒนาแพลตฟอร์มซื้อขายพลังงานในอนาคต ซึ่งยังต้องรอพัฒนารายได้อื่นจากที่ไม่ใช้ไฟฟ้าทำให้ราคาหุ้นทยอยปรับตัวลงจากระดับ 200 บาทมาอยู่ที่ 175 บาท
การลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเชีย เวลท์ ประเมิน สำหรับราคาหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าที่ปรับตัวลดลง เป็นผลมาจากการหมุนกลุ่มลงทุน เนื่องจากช่วงก่อนหน้านี้ราคาหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าบางตัวมีการปรับตัวขึ้นมาสูงจึงเป็นจังหวะขายทำกำไรเพื่อหมุนลงทุนในหุ้นกลุ่มอื่นๆ ที่ราคาปรับตัวลงมาอย่างปิโตรเคมี
รวมทั้งรอท่าทีการปรับลดราคา LNG เพื่อลดผลกระทบประชาชนจะส่งผลบวกทำให้ต้นทุนของโรงไฟฟ้าปรับตัวลงได้อีกเล็กน้อย แต่อย่างไรก็ตาม หากมีการปรับลด LNG ลง ผลที่จะส่งไปถึงต้นทุนโรงไฟฟ้าให้ปรับตัวลดลงจะไม่เกิดขึ้นทันที ต้องใช้เวลาราว 6 เดือนขึ้นไป