"กกพ." เร่งเคาะค่าเช่าคลัง2 นำเข้า "แอลเอ็นจี" ทันเดือนพ.ค.65
“ปตท.-กฟผ.” ลุยสร้างคลังนำเข้าแอลเอ็นจี แห่งที่ 2 “หนองแฟบ” ด้าน“กกพ.” เร่งเคาะค่าเช่าทันก่อนเปิดบริการพ.ค.2565เร่งบริหารแผนนำเข้าแอลเอ็นจี หลังกพช.ให้ปี 65 นำเข้า 4.5 ล้านตัน ห่วงกระทบค่าไฟฟ้า
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ภาครัฐเล็งเห็นถึงโอกาสในการปรับรูปแบบการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการจัดหาและจัดส่งก๊าซธรรมชาติของประเทศ จึงได้มอบหมายให้สองรัฐวิสาหกิจหลักของประเทศ ได้แก่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ร่วมลงทุนในโครงการก่อสร้างคลังจัดเก็บและแปรสภาพก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG Receiving Terminal แห่งที่ 2) หรือ LMPT2 (เทอร์มินอล 2) ต.หนองแฟบ จ.ระยอง
ทั้งนี้ จะช่วยส่งเสริมการแข่งขันในกิจการก๊าซธรรมชาติของประเทศ ตามแนวทางการเปิดเสรีก๊าซธรรมชาติในประเทศไทย รองรับการนำเข้าแอลเอ็นจีให้สอดคล้องกับความต้องการใช้ เสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศในระยะยาว และเสริมให้ประเทศไทยก้าวเป็นศูนย์กลางการซื้อขายก๊าซธรรมชาติเหลวในภูมิภาคอาเซียน (LNG Regional Hub) ต่อไป
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท. กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้นับว่าเป็นความร่วมมือครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ระหว่าง 2 รัฐวิสาหกิจหลักของประเทศ ในการสร้างความมั่นคงทางพลังงาน ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงพลังงานที่ได้รับมอบหมายให้ผนึกกำลังร่วมกันดำเนินโครงการ LNG Receiving Terminal แห่งใหม่ ซึ่งจะช่วยให้การใช้งานโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเกิดประโยชน์สูงสุด
อีกทั้ง ยังเป็นการส่งเสริมนโยบายและยุทธศาสตร์ของรัฐบาล สนับสนุนการยกระดับความรู้ ความสามารถของบุคลากร ร่วมกันพัฒนานวัตกรรมทางด้านพลังงาน เสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขันให้แก่ประเทศ ทั้ง 2 องค์กรได้แสวงหาโอกาสความร่วมมือและการลงทุนร่วมกันในอนาคตอันใกล้ รวมถึงโครงการ LNG Receiving Facilities ภาคใต้ รองรับการจัดส่งก๊าซธรรมชาติให้โรงไฟฟ้าสุราษฎร์ธานี
นายบุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร ผู้ว่าการ กฟผ. เปิดเผยว่า หลังลงนามทั้ง 2 หน่วยงานได้ดำเนินการสอบทานทางธุรกิจในการประเมินมูลค่าโครงการ ตลอดจนศึกษารายละเอียดต่างๆ และได้ข้อตกลงร่วมกันในประเด็นเงื่อนไขสำคัญ และรายละเอียดเบื้องต้นของการร่วมลงทุนในโครงการฯ โดยได้จัดทำข้อตกลงดังกล่าวในลักษณะบันทึกสาระสำคัญของสัญญาร่วมทุนแล้วเสร็จ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของระบบก๊าซธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มผู้ให้บริการในคลังฯ ส่งเสริมการแข่งขันในธุรกิจเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ ตามแนวทางการเปิดเสรีก๊าซธรรมชาติของประเทศ ช่วยพัฒนาตลาดก๊าซธรรมชาติของประเทศไทยให้มีศักยภาพและมีความมั่นคงต่อไป
นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) กล่าวว่า ต้นทุนแอลเอ็นจีและปัญหาก๊าซขาดแคลนก๊าซกระทบต่อต้นทุนค่าไฟฟ้าให้สูงขึ้นจากคาดการณ์เดิมจะขึ้นอีก 16 สตางค์ต่อหน่วยทุกรอบในปี 2565 ทุกปีจะพิจารณา 3 รอบ รอบละ 4 เดือน ทั้งนี้ กกพ.ได้พยายามบริหารต้นทุนให้ต่ำที่สุด จึงเร่งให้ ปตท.และกฟผ.ใช้เทอร์มินอล 2 ให้เร็วขึ้นจากปลายปี 2565 ที่จำนวน 7.5 ล้านตันต่อปี เป็นเดือนพ.ค.2565 ที่ประมาณ 2.5 ล้านตันต่อปี
นอกจากนี้ จากการเร่งเปิดเทอร์มินอล 2 เพื่อรองรับและระบายการใช้งานเทอร์มินอล 1 ด้วย เพราะหากมีการนำเข้าในปริมาณที่เยอะขึ้น จะกระทบต่อคุณภาพของแก๊สด้วยเช่นกัน ดังนั้น กกพ.จึงต้องเร่งพิจารณาอัตราค่าใช้บริการทั้งเทอร์มินอล1 และ 2 อย่างรอบคอบ เพื่อกำกับราคาไม่ให้เกิดต้นทุนเป็นธรรมเพื่อประโยชน์ประเทศชาติมากที่สุด
“คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ให้โจทย์กกพ.เพื่อดูในภาพรวมว่าจะทำอย่างไรให้เกิดประโยชน์ประเทศมากสุด ซึ่งเทอมินอล 2 จะต้องแล้วเสร็จเดือนพ.ค.2565 ตอนนี้จึงต้องเร่งพิจารณาดูว่าควรจะมีอัตราค่าบริการอย่างไรเพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการผลิตไฟฟ้าในภาพรวม ซึ่งอัตราค่าบริการจะต้องออกมาก่อนเดือนพ.ค.2565”
ทั้งนี้ เมื่อเปิดให้จองเทอมินอล1 และ 2 พบว่ามีการแห่จองแต่เทอร์มินอล 1 เพราะมีออปชั่นที่ดีกว่า สามารถนำก๊าซลงได้ทั้งทางท่อ ทางรถ และทางเรือ ผู้ใช้ต่างอยากใช้เพราะประหยัดต้นทุนมีทางเลือกมากกว่า ส่วนเทอร์มินอล 2 จะนำส่งแก๊ซลงท่อได้อย่างเดียว ดังนั้น กกพ.จะต้องจัดสรรว่าถ้ารายที่นำเข้ามาแล้วไม่ได้นำไปขาย ก็ไม่จำเป็นจะต้องลงรถหรือเรือ แล้วจะจองเทอร์มินอล 1 ทำไม
“สำหรับราคาก็อาจจะแตกต่างกัน ซึ่งเทอร์มินอลต่างๆ ถ้าปล่อยเสรีเต็มที่ก็จะไม่ดี คนจะแห่ไปจองอันที่ดีกว่า จึงต้องมาบริหารจัดการกันว่าเทอร์มินอลที่มีอยู่จะมีวิธีใช้และจัดสรรอย่างไรให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศให้มากที่สุด และป้องกันไม่ให้เทอร์มินอลที่เกิดก่อนกดราคา ดังนั้น ในเรื่องของราคาจะต้องมาหารืออีกครั้งว่าจะบริหารจัดการอย่างไร ถือเป็นโจทย์ที่ยากมาก”
แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ปี2565 กพช.มีมติให้นำเข้าแอลเอ็นจีที่ 4.5 ล้านตัน และปัจจุบันแหล่งเอราวัณมีกำลังผลิตอยู่แค่ 200 ลูกบาศก์ฟุตต่อวัน จากพื้นฐานที่แหล่งเอราวัณผลิตได้ 500 ลูกบาศก์ฟุตต่อวัน จะต้องนำเข้าแอลเอ็นจีมาทดแทน 1.8 ล้านตัน แต่เท่าที่ทราบคือมีกำลังผลิตแค่ 200 ลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ดังนั้น จึงต้องหาให้ได้มากกว่า 4.5 ล้านตันอยู่แล้ว รัฐต้องทำการบ้านเรื่องของราคานำเข้าก๊าซยังมีราคาสูง ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าสูงขึ้นตามมาด้วย ดังนั้น ค่าไฟที่กกพ.ขยับขึ้นที่ 16 สตางค์ต่อหน่วย ในรอบที่ 2 ของปี2565 ต้องขยับขึ้นอีกแน่นอน