‘สุพัฒนพงษ์’ เคาะตั้งบริษัทลูก สกพอ. บริหารเมืองอุตสาหกรรมการบินอู่ตะเภา
คณะอนุกรรมการบริหารการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กบอ.) รับทราบความก้าวหน้า 4 โครงการโครงสร้างพื้นฐาน พร้อมผลักดันทุกโครงการลงทุนตามแผนภายในปี 2565
นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะอนุกรรมการบริหารการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กบอ.) ครั้งที่ 1/2565 วันจันทร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2565 โดยมีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน การประชุมฯ ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ได้รับทราบและพิจารณาความก้าวหน้าการดำเนินงานในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ว่า
ที่ประชุม กบอ. รับทราบ ความก้าวหน้าเมืองการบินภาคตะวันออก: สนามบินอู่ตะเภา ดังนี้
1. การจัดสิทธิประโยชน์ 10 ปีแรกให้กับโครงการเมืองการบินภาคตะวันออกเพื่อให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ (Special Economic Zone) เทียบเท่าสิงคโปร์ ดูไบ และฮ่องกง ซึ่งจะมีการสนับสนุนการเป็นเมืองท่องเที่ยวและธุรกิจ 24 ชั่วโมงเป็นเขตปลอดอากรและสรรพสามิต
รวมทั้งภาษีสรรพากรในบางกรณี รวมทั้งจะมีการสนับสนุนด้านการออกวีซ่าและใบอนุญาตการทำงานในลักษณะ 5+5 ปี สำหรับผู้ทำงานและนักลงทุนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเมืองการบินภาคตะวันออก
2. การจัดตั้งบริษัท อีอีซี พัฒนาสินทรัพย์สนามบิน จำกัด หรือ EAD โดย อีอีซีจะถือหุ้น 100% มีเป้าหมายพัฒนาอุตสาหกรรมการบิน ในพื้นที่พัฒนาอุตสาหกรรมการบิน (ATZ) ซึ่งเป็นพื้นที่รับผิดชอบโดย สกพอ. ซึ่งเป็นส่วนที่อยู่นอกเหนือพื้นที่เอกชนได้รับสิทธิ์พัฒนาตามสัญญาร่วมลงทุน
โดยจะเร่งดำเนินการพัฒนาธุรกิจซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO) ในพื้นที่ ATZ ให้ทันต่อการเปิดให้บริการสนามบิน เพื่อให้สนามบินอู่ตะเภาสามารถให้บริการแก่สายการบินได้อย่างครบวงจร ยกระดับเป็นสนามบินระดับโลกและเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค
ซึ่งสอดคล้องกับแผนพัฒนาอุตสาหกรรมการบินของกระทรวงคมนาคม ซึ่งการพัฒนาธุรกิจดังกล่าวจำเป็นต้องใช้บุคคลากรที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพื่อที่จะสามารถดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลและดึงดูดนักลงทุนอุตสาหกรรมการบินให้สนใจลงทุนในพื้นที่ได้
ด้านความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการที่สำคัญ ได้แก่ การขับเคลื่อนโครงสร้้างพื้นฐานหลัก ซึ่งเป็นโครงการร่วมลงทุุนรัฐ-เอกชน (PPP) ได้แก่ รถไฟความเร็วสูงฯ สนามบินอู่ตะเภา ท่าเรือมาบตาพุด และท่าเรือแหลมฉบัง
โดยทั้ง 4 โครงการมีความก้าวหน้าการก่อสร้างและส่งมอบพื้นที่โครงการต่อเนื่อง พร้อมผลักดันให้ทุกโครงการดำเนินการลงทุนได้ตามแผนภายในปี 2565 นี้ โดย สกพอ. ทำหน้าที่ประสานหน่วยงานเจ้าของโครงการ และเอกชนคู่สัญญา ซึ่งทำให้การก่อสร้างทุกโครงการแล้วเสร็จตามแผนอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อประโยชน์ประเทศและประชาชนเป็นสำคัญ
ด้านความก้าวหน้าโครงการพัฒนาเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) เตรียมความพร้อมดึงดูดการลงทุนฐานนวัตกรรมขั้นสูง และจูงใจนักลงทุนทั่วโลกเข้าสู่พื้นที่ อีอีซี ปัจจุบันโครงสร้างภายนอกแล้วเสร็จ 100% มีเพียงการปรับภูมิทัศน์ และติดตั้งครุภัณฑ์วิทยาศาสตร์ พร้อมเปิดอย่างเป็นทางการในเดือนพ.ย. 2565
นอกจากนี้ สกพอ. ได้แจ้งข่าวดีถึง โครงการธีมพาร์คและสวนน้ำ “โคลัมเบีย พิคเจอร์ส อควาเวิร์ส” แห่งแรกของโลก ซึ่งเป็นการลงทุนจาก บริษัท โซนี่พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเมนต์ ผู้ผลิตภาพยนตร์ระดับโลก ที่จะเป็นเมืองสวนสนุก เครื่องเล่นอัจฉริยะมาตรฐานโลก สามารถเปิดระยะที่ 1 ได้ในวันที่ 8 เม.ย. 2565 หากสถานการณ์โควิดคลี่คลาย
โดยโครงการฯ ดังกล่าวจะทำให้เกิดการสร้างงานในพื้นที่ กระตุ้น ฟื้นฟูเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวหลังโควิด-19 ทำให้ อีอีซี และประเทศไทยเป็นจุดหมายสำหรับนักลงทุนนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่ต้องเดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้น เป็นฟันเฟืองสำคัญสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน
ที่ประชุม กบอ. ยังได้รับทราบ ความก้าวหน้าโครงการระเบียงผลไม้ภาคตะวันออก (EFC) ซึ่ง สกพอ. ได้ประสานงานร่วมกับ ปตท. ศึกษาแนวทางขับเคลื่อนโครงการที่ได้หารือร่วมกับกลุ่มเกษตรกร ผู้ประกอบการห้องเย็น อบจ.ระยอง เพิ่มเติม นำไปสู่การปรับแผนการดำเนินธุรกิจอย่างครบวงจร
โดย ปตท. จะสรรหาพันธมิตรร่วมลงทุน และเป็นผู้ดูแลทั้งระบบตั้งแต่การผลิต รับรองมาตรฐาน การจัดตั้งตลาดกลางรวมถึงรองรับการซื้อขายกับต่างประเทศ ผ่าน e-commerce และ e Auction พัฒนาแพ็คเกจบรรจุภัณฑ์ และจัดส่งสินค้า โดยเน้นทุเรียนคุณภาพและพรีเมียม
พร้อมกันนี้จะขยายความจุห้องเย็น จากเดิม 4,000 ตัน เป็น 10,000 ตัน เพื่อเป็นกลไกรักษาเสถียรภาพของราคา รสชาติ ความสดของทุเรียน เพิ่มมูลค่าให้ทุเรียนพรีเมียมขายได้ตรงตลาดผู้บริโภคตลอดทั้งปี โดยคาดว่าการดำเนินงานทั้งหมดจะแล้วเสร็จ และสามารถเปิดภายในปี 2566
ซึ่งโครงการฯ นี้จะเป็นการเปิดโอกาสให้เกษตรกร/ชาวสวนมีส่วนร่วมในการดำเนินงาน นำไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถของเกษตรกร และสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ผลผลิตในท้องถิ่น ทำให้เกษตรกร ชุมชน มีคุณภาพชีวิตและรายได้ดีขึ้นต่อเนื่อง
สำหรับการต่อยอดสินค้าโอทอป เสริมทักษะผู้ค้ารายย่อย บุกตลาดดิจิทัล เพิ่มยอดขาย ฟื้นรายได้ชุมชน อีอีซี ที่ประชุม กบอ. รับทราบ โครงการส่งเสริมและพัฒนาวิสาหกิจชุมชนและผู้ค้ารายย่อยในอีอีซี เน้นขยายช่องทางจำหน่าย เพิ่มความสามารถการขาย จัดหาแหล่งเงินทุนให้ผู้ค้ารายย่อย ชุมชน สร้างเครื่องมือการตลาด
นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ส่งเสริมสินค้าโอทอปตรงความต้องการตลาดมากยิ่งขึ้น โดยมีกลุ่มเป้าหมายและสินค้าเป็นที่นิยมในพื้นที่ ได้แก่ จังหวัดระยอง เช่น ทุเรียนทอดกรอบ เครื่องเงิน จังหวัดชลบุรี เช่น พุดดิ้งมะพร้าวอ่อน ข้าวกล้อง สบู่เปลือกมังคุด จังหวัดฉะเชิงเทรา เช่น มะม่วงน้ำดอกไม้ หมูแท่งอบกรอบ เป็นต้น
โดยมีแนวทางดำเนินการ 2 รูปแบบ ได้แก่ ตั้งบรรษัทวิสาหกิจชุมชน (EEC Enterprise) เช่น การลงทุนร่วมระหว่าง สกพอ. สำนักงานกองทุนหมู่บ้าน เอกชน ทำหน้าที่ วางแผนการผลิต การตลาด และส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง มีศูนย์พัฒนาธุรกิจชุมชน (EEC Incubation Center) ทำหน้าที่ ศึกษาวิจัย พัฒนาสินค้าชุมชนให้มีคุณภาพในระดับมาตรฐานมีรูปแบบบรรจุภัณฑ์ที่น่าสนใจ รวมทั้งการฝึกอบรมบุคลากรให้ทำงานร่วมกับนวัตกรรมใหม่
โดยผลประโยชน์ที่เกิดขึ้น จะสนับสนุนให้ยอดขายสินค้าชุมชนเพิ่มไม่ต่ำกว่า 30% ผลักดัน GDP ระดับชุมชนขยายตัวเพิ่มขึ้น 20% เศรษฐกิจชุมชนที่ประสบความสำเร็จเพิ่มขึ้น 20% ผู้ซื้อสินค้า ผู้บริโภค นักท่องเที่ยวได้สินค้าชุมชน และบริการที่มีคุณภาพ จูงใจให้กลับมาท่องเที่ยวซ้ำ สร้างงาน สร้างอาชีพและรายได้ที่มั่นคง ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำและความยากจนในพื้นที่ อีอีซี ระยะยาวต่อไป
ทางด้านความก้าวหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ ที่ประชุม กบอ. รับทราบความก้าวหน้าในการแก้ปัญหาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินที่คณะกรรมการกำกับดูแลสัญญาฯ ได้ร่วมกับ รฟท. และเอกชนคู่สัญญากำลังดำเนินการอยู่ ดังนี้
1. กระทรวงคมนาคมให้เอกชนสร้างส่วนทับซ้อนงานโยธาของโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน และโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย - จีน ช่วงบางซื่อถึงดอนเมือง ซึ่งจะนำไปสู่การแก้ไขสัญญาโดยไม่เป็นภาระทางการเงินของภาครัฐ
2. การบรรเทาผลกระทบโควิด 19 อย่างเหมาะสมให้กับเอกชน ซึ่งแม้ขณะนี้จำนวนผู้โดยสารจะเริ่มกลับมาแต่ยังห่างจากการประมาณการตามการศึกษาที่ 80,000 คนต่อวัน
ทั้งนี้การแก้ไขสัญญาจะให้ความสำคัญกับการปรับระยะเวลาค่าสิทธิ์เป็นสำคัญ โดยเร่งรัดดำเนินการเจรจาในข้อเสนอเพิ่มเติมของเอกชนคู่สัญญาให้ได้ข้อยุติโดยเร็วก่อนดำเนินการ โดยภาครัฐไม่เสียประโยชน์ และเป็นธรรมต่อภาคเอกชนบนพื้นฐานความเป็นหุ้นส่วนในโครงการฯ ร่วมกัน
3. การส่งมอบพื้นที่ ช่วงสุวรรณภูมิถึงอู่ตะเภา ปัจจุบัน รฟท. ได้ส่งมอบพื้นที่ให้เอกชนคู่สัญญาแล้ว 3,493 ไร่ หรือได้เกือบครบทั้งหมด 100 % แล้ว เหลือพื้นที่ส่งมอบเพียง 20 ไร่ หรือประมาณ 0.57% ที่เจ้าของพื้นที่เดิมยังหาที่อยู่ใหม่ไม่ได้ รฟท. จะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนพ.ค. 2565