EE เปิดโมเดลธุรกิจ “กัญชง” ลุยปลูก-สกัด-แปรรูปดันรายได้ปี 66
ความเคลื่อนไหวธุรกิจกัญชา-กัญชงกลับมาคึกคักในช่วงต้นปี 2565 หลังจากหลายบริษัททยอยได้รับใบอนุญาตในการผลิต สกัด และจำหน่าย จากที่ประกาศเข้าลุยธุรกิจดังกล่าวจำนวนมากช่วงปี 2564 พร้อมกับพลิกโฉมธุรกิจไปด้วย
หลายบริษัทที่ตบเท้าเข้ามาดำเนินธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำจนปลายน้ำมีการประกาศความเคลื่อนไหวธุรกิจพร้อมกับราคาหุ้นที่ตอบรับกับข่าว ซึ่งหุ้นเล็กแต่มาแรงจากการเข้าสู่ธุรกิจดังกล่าว “อีเทอเนิล เอนเนอยี” หรือ EE พลิกจากธุรกิจพลังงานสะอาดมาสู่ธุรกิจสีเขียว
ภายหลังจากอนุมัติการเข้าซื้อหุ้น “ แคนนาบิซ เวย์ “ หรือ CW จำนวน 800,000 หุ้น เป็นสัดส่วน 80 % ประกอบธุรกิจค้าและผลิตกัญชง จากบริษัท ไบโอ เมดิคอล กรุ๊ป จำกัด มูลค่า 650 ล้านบาท ในช่วงก.ย.ปี 2564 ถือว่าจุดกระแสให้กับหุ้นดังกล่าวทันที
จุดเด่นของ CW เป็นบริษัทที่มีการปลูกกัญชา-กัญชงทั้งในโรงเรือน (Greenhouse) และกลางแจ้ง (Outdoor) ก่อตั้งโดย ”อุนารินทร์ กิจไพบูลทวี” หรือในวงการมอบฉายาให้ว่าเป็น "นางฟ้ากัญชา" มีกรรมสิทธิ์ที่ดินเพื่อการเพาะปลูกจังหวัดสระบุรีประมาณ 9,000 ตารางเมตร สำหรับการปลูกในโรงเรือน และประมาณ 15 ไร่ สำหรับการปลูกกลางแจ้ง
พร้อมกับปลายปี 2564 ใบอนุญาตผลิต(ปลูก)ยาเสพติดให้โทษประเภท 5 เฉพาะกัญชงทำให้เดินหน้าเพาะปลูกในเฟสแรกทันที 30,000 ต้น ใช้ระยะเวลาเพาะปลูก 2-3 เดือนสามารถขายผลผลิตได้เลย ด้วยการศึกษาและพัฒนาร่วมกับมหาวิทยาลัยนเรศวร ซึ่งผลผลิตทั้งหมดมีคำสั่งซื้อรองรับและพร้อมรับรู้รายได้ภายใน ไตรมาส 2 ปี 2565
ปรากฎสิ้นปี 2564 บริษัททำกำไรสุทธิอยู่ที่ 195 ล้านบาท ซึ่งเติบโตขึ้น 3,816% ซึ่งมาจากการรับรู้รายการพิเศษจากการขายเงินลงทุนในธุรกิจพลังงาน สำหรับปี 2565 เตรียมตั้งเป้าหมายเป็นผู้ดำเนินธุรกิจกัญชงครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน
ตามแผนยุทธศาสตร์ 3 ปี ขององค์กรเป็นผู้นำทางด้านธุรกิจกัญชงครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำ-กลางน้ำ และปลายน้ำ ผ่านเทคโนโลยีด้านการเกษตร (Smart Farming) และการสกัด มาผนวกกับทีมงานวิจัยด้านต่างๆ เพื่อเชื่อมรวมเข้าด้วยกันและนำสู่ผลลัพธ์ที่มีคุณภาพสูงสุด
อุตสาหกรรมต้นน้ำผ่านการลงทุนกัญชง กับ CW เจ้าของโรงเรือน Green ซึ่งปลูก crop (รอบการปลูก) แรกจำนวน 50,000 ต้น แบ่งเป็น indoor และ outdoor อย่างละ 30,000 และ 20,000ต้น ตามลำดับ ซึ่งคาดว่าจะได้ช่อดอกแห้งไม่น้อยกว่า 5,000 กิโลกรัม ซึ่งมีราคาขายประมาณ 15,000 บาทต่อกิโลกรัม และคาดว่าการผลิตจะมีสาร CBD ไม่น้อยกว่า 15% ทั้งนี้ชคาดว่าจะสามารถปลูกได้ประมาณ 3-4 crop ต่อปี คิดเป็นประมาณการรายได้ไม่น้อยกว่า 330 ล้านบาทต่อปี สำหรับโครงการ CW
อุตสาหกรรมกลางน้ำที่ปัจจุบันเได้ศึกษามาเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่า จะใช้เทคโนโลยีอะไร เหลือเพียงสรุปรายละเอียดเรื่องพันธมิตร รวมถึงเรื่องอุปกรณ์ สเปกเครื่องสกัดอีกเล็กน้อย โดยตั้งเป้าแถลงถึงโครงการสกัดกลางน้ำในไตรมาส 2 และคาดว่าจะสร้างรายได้ในไตรมาส 4 ปี 2565
อุตสาหกรรมปลายน้ำจะพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์เชิงสุขภาพ Premium Supplement Products ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่มีอัตรากำไรสูงสุดหากเทียบกับประเภทอื่นๆ และมีคุณภาพตอบสนองกลุ่มเป้าหมายในระดับพรีเมียม (Premium Class)
โดยบริษัทคาดการณ์ว่าจะสามารถออกผลิตภัณฑ์เหล่านี้สู่ตลาดภายในปี 2566 หรือเมื่อ supply ของวัตถุดิบหรือสารสกัดจากกัญชงในโครงการต้นน้ำของกลุ่มบริษัท EE มีปริมาณและเสถียรภาพมากพอ
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคจีไอ (ประเทศไทย) ได้ประเมินราคาบริษัท EE (ณ วันที่ 26 มกราคม 2565) ไว้ที่ 3 บาทต่อหุ้น โดยนักวิเคราะห์ประเมินว่าตลาดมีความต้องการผลิตภัณฑ์จากกัญชงสูง เนื่องจากสามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมการแพทย์ โดยเฉพาะสารสกัด CBD จากช่อดอกกัญชง
รวมถึงอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม กระแสความนิยมบริโภคกัญชงคาดว่าจะเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในช่วง 1 - 3 ปีแรก จะเป็นปัจจัยหนุนราคาผลิตผลกัญชง เนื่องจากอุปทานยังมีจำกัด รวมทั้งภาครัฐฯยังมีการสนับสนุนด้วยการห้ามนำเข้าผลิตผลจากกัญชงไปอีก 4 ปี (ถึงปี 2568) จะเป็นช่วงของการเก็บเกี่ยวผลการดำเนินงานที่ดีของ EE ผลิตผลจากกัญชงจากแหล่งเพาะปลูกของ CW มีสัญญารับซื้อจากผู้ประกอบการขั้นกลางน้ำแล้ว
การประเมินจากการดำเนินงานของ CW เพียงโครงการเดียว คาดกำไรเฉลี่ยปีละ 200 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2565 ถึงปี 2567 จึงแนะนำ "ซื้อ" เป้าพื้นฐาน 3.0 บาท หรือ upside 43%