ค้าปลีกชง 3 วาระเร่งด่วน พยุงค่าครองชีพ กระตุ้นเศรษฐกิจ
สมาคมผู้ค้าปลีกไทย ชี้ดัชนีค้าปลีกเดือนกุมภาส่งสัญญาณดีขึ้น จากมาตรการกระตุ้นของภาครัฐ หวังรัฐอัดฉีดต่อเนื่องเพื่อสร้างเม็ดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจ หนุนการฟื้นตัว
นายฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เปิดเผยว่า สมาคมฯได้ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย เผยผลสำรวจความเชื่อมั่น (Retail Sentiment Index) ของผู้ประกอบการค้าปลีกประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ในภาพรวม พบว่า แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโอมิครอนจะพบผู้ติดเชื้อรายใหม่กว่า 20,000 รายต่อวันและเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ความเชื่อมั่นผู้ประกอบการผู้ค้าปลีกไทย โดยภาพรวมปรับเพิ่มขึ้น 9.3 จุด และอีก 3 เดือนข้างหน้ายังคงปรับดีขึ้นเล็กน้อยอีก 5.6 จุด เนื่องจากมาตรการภาครัฐที่มาถูกเวลาทั้งโครงการ “คนละครึ่ง” และ “ช้อปดีมีคืน” รวมถึงความร่วมมือของสมาคมผู้ค้าปลีกไทย และภาคีเครือข่ายในการตรึงราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น พร้อมกับการทำโปรโมชั่นส่งเสริมการขายอย่างหนักเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน
++ย้ำ 3 ข้อเสนอต่อภาครัฐ
ทั้งนี้ แม้ภาพรวมกำลังซื้อจะฟื้นตัว แต่ยังไม่มากนัก ภาครัฐจึงจำเป็นต้องเดินหน้านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง โดยสมาคมฯ ได้เสนอแนะรัฐบาล 3 ข้อ ดังนี้
1.เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการลงทุนโดยภาครัฐ ให้มีการอนุมัติและดำเนินการโครงการต่างๆ เพื่อสร้างเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยเร็ว
2.พยุงราคาพลังงานให้คงที่และได้นานที่สุด ภาครัฐควรพิจารณาใช้ทุกมาตรการ เช่น การใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และการออกมาตรการควบคุมราคาค่าขนส่ง เพื่อพยุงราคาพลังงานให้นานที่สุด
3.คงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐไว้อย่างต่อเนื่อง ภาครัฐควรพิจารณากระตุ้นกำลังซื้อของประชาชนเพื่อให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ (Local Consumption) ผ่าน โครงการ “คนละครึ่ง” และ โครงการ “ช้อปดีมีคืน”
“กำลังซื้อของผู้บริโภคยังไม่ฟื้นตัวมากนัก การกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐยังเป็นสิ่งจำเป็นและต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังต้องมุ่งการเพิ่มกำลังซื้อให้ประชาชนอย่างรวดเร็วและรอบด้าน โดยภาครัฐต้องมีนโยบายที่ชัดเจนส่งเสริมให้เอกชนลงทุนภายในประเทศเพื่อเพิ่มการจ้างงาน ซึ่งในระยะยาวจะส่งผลให้กำลังซื้อของประชาชนฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง ท้ายที่สุดนี้คือ การร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจของทุกภาคส่วนจะเป็นพลังในการขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจไทยได้ไปต่อ”
++ดัชนีค้าปลีก ก.พ. ฟื้นตัว
นายฉัตรชัย กล่าวอีกว่า ด้านผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการค้าปลีกประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการดีขึ้น 9.3 จุด เกิดจากความความพยายามร่วมกันของภาครัฐและภาคเอกชน ในการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้วยการตรึงราคาพลังงานและสินค้าอุปโภคบริโภค
ทั้งนี้ สมาคมผู้ค้าปลีกไทย และภาคีเครือข่าย ได้ประสานงานอย่างใกล้ชิดกับซัพพลายเออร์รายใหญ่กว่า 30 ราย เพื่อตรึงราคาให้ครอบคลุมสินค้าที่จำเป็นในชีวิตประจำวันกว่า 500 รายการมาตั้งแต่ปลายปี 2564 รวมทั้งได้รับผลจากมาตรการการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของภาครัฐเพิ่มอีกแรง ส่งผลให้ยอดขายสาขาเดิม Same Store Sale Growth (SSSG) ปรับเพิ่มขึ้น 15.2 จุด แต่ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลางที่ 50 จุด ซึ่งเกิดจากความถี่ในการจับจ่าย (Frequency Of Shopping) ที่เพิ่มขึ้น 16.3 จุด
ขณะที่ยอดซื้อต่อบิล Spending Per Bill หรือ Per Basket Size นั้นยังอยู่ในอัตราทรงตัวที่ 5.2 จุด ดังนั้นการจับจ่ายที่เกิดขึ้นจึงเป็นลักษณะการซื้อทีละน้อยแต่ซื้อบ่อยครั้ง ซึ่งสอดคล้องกับความระมัดระวังในการจับจ่ายที่ซื้อเฉพาะสินค้าที่จำเป็นเท่านั้น เพราะสินค้าหลายหมวดหมู่มีการปรับราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยมีข้อสรุปของดัชนีความเชื่อมั่นในประเด็นที่สำคัญ ดังต่อไปนี้
1.ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีก Retail Sentiment Index (RSI) เดือนกุมภาพันธ์เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 52.7 ปรับเพิ่มขึ้นเพียง 9.3 จุด เมื่อเทียบกับดัชนีเดือนมกราคมที่ 43.4 จุด สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่ยังไม่มั่นคง เนื่องจากความกังวลต่อกำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้นตัว ประกอบกับราคาสินค้าที่ปรับราคาเพิ่มขึ้น ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีกในอีก 3 เดือนข้างหน้าเพิ่มขึ้นเพียง 5.6 จุด จากระดับ 53.1 จุด ในเดือนมกราคม มาที่ 58.7 จุด เดือนกุมภาพันธ์ สะท้อนถึงความกังวลต่อการแพร่ระบาดของโอมิครอนที่กระจายไปอย่างรวดเร็วในประเทศไทย รวมถึงสถานการณ์เศรษฐกิจของโลกที่ยังมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เช่น ราคาน้ำมัน และอัตราเงินเฟ้อ เป็นต้น
2.ดัชนีความเชื่อมั่น RSI แยกตามภูมิภาค ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการต่อยอดขายเดิมเดือนกุมภาพันธ์เพิ่มขึ้นในทุกภูมิภาคเมื่อเทียบกับเดือนมกราคม จากมาตรการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของภาครัฐ แต่ก็เป็นการเพิ่มขึ้นที่ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลางที่ระดับ 50 จุด ทุกภูมิภาค สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่ยังกังวลในการฟื้นตัวของกำลังซื้อ และค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้นเพราะราคาพลังงานและราคาอาหารสดมีการปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ยังมีบทสรุปประเด็นสำคัญของ “การประเมินกำลังซื้อและแนวโน้มการแพร่ระบาดของโอมิครอนจากมุมมองผู้ประกอบการ” ในเดือนกุมภาพันธ์ ที่สำรวจระหว่างวันที่ 17-24 กุมภาพันธ์ 2565 ดังนี้
1. แนวโน้มการพิจารณาปรับค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ
- 44% อาจจะพิจารณาปรับขึ้นค่าจ้างไม่เกิน 5%
- 33% รอการประกาศค่าจ้างขั้นต่ำอย่างเป็นทางการ
2. ผลกระทบต่อธุรกิจจากการแพร่ระบาดของโอมิครอนเมื่อเทียบกับเดลต้า
- 63% ผลกระทบโอมิครอนน้อยกว่าเดลต้า
- 33% ผลกระทบโอมิครอนใกล้เคียงกับเดลต้า
- 4% ผลกระทบโอมิครอนมากกว่าเดลต้า
3. ผลการสำรวจความคิดเห็นผู้ประกอบการต่อ โครงการ “ช้อปดีมีคืน” 2565
- 3.1 จำนวนลูกค้าเมื่อเทียบเดือนมกราคม 2565 กับเดือนธันวาคม 2564
- 59.5% จำนวนลูกค้ามาจับจ่าย มากขึ้น
- 20.1% จำนวนลูกค้ามาจับจ่าย เท่าเดิม
- 20.4% จำนวนลูกค้ามาจับจ่าย น้อยลง
- 3.2 จำนวนใบกำกับภาษี
- 82.7% จำนวนใบกำกับภาษีเพิ่มขึ้น 1-5%
- 11.4% จำนวนใบกำกับภาษีเพิ่มขึ้น 6-10%
จากผลการสำรวจพบว่า ผู้ประกอบการกว่า 44% อาจจะพิจารณาปรับค่าจ้างแต่ไม่เกิน 5% ในขณะที่ผู้ประกอบการ 33% ระบุว่าจะยังไม่พิจารณาปรับค่าจ้าง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ผู้ประกอบส่วนใหญ่ยังคงลังเลที่จะปรับค่าจ้าง ในขณะที่ธุรกิจยังไม่ฟื้นตัวและสถานการณ์เศรษฐกิจก็ยังไม่มีความชัดเจน แม้ว่าผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโอมิครอนจะน้อยกว่าเดลต้า แต่ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเดลต้าที่มาก่อนหน้านี้ยังไม่ฟื้นตัว ทำให้ภาพรวมของธุรกิจยังได้รับผลกระทบอยู่
สำหรับผลสำรวจความคิดเห็นจากโครงการ “ช้อปดีมีคืน” มีผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจระดับหนึ่ง แม้ว่าในช่วงเวลาที่เริ่มต้นโครงการ “ช้อปดีมีคืน” นั้น เป็นช่วงของการแพร่ระบาดของ โอมิครอนทำให้มู้ดในการจับจ่ายใช้สอยไม่ดีเท่าที่ควร แต่ก็ถือว่ายอดขายเติบโตได้ขนาดนี้ก็เป็นที่น่าพอใจ แต่หากโครงการ “ช้อปดีมีคืน” สามารถทำเฟสต่อไปได้ โดยขยายเวลาเป็น 3 เดือน และขยายวงเงินเป็น 100,000 บาท ผลลัพธ์จะทำให้สามารถนำเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ที่ทำให้ผู้ประกอบการ และ SMEs ไทยสามารถดำรงสภาพคล่องและคงการจ้างงานไว้ได้