“จีจีซี” งัด “ไบโอคอมเพล็กซ์” เคลื่อนธุรกิจฝ่ามรสุมโตยั่งยืน
การดำเนินธุรกิจท่ามกลางปัจจัยท้าทายที่รุมเร้าอย่างสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่ส่งผลให้ขณะนี้ราคาน้ำมันดิบทะลุไปในระดับ 120-130 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล กระทบต่อภาคโลจิสติกส์ การใช้จ่ายน้อยลง เกิดความไม่แน่นอนของอัตราแลกเปลี่ยน
ปัจจัยเหล่านี้กำลังเป็นโจทย์ใหญ่ที่ผู้ประกอบการต้องฉีกตำราเพื่อพาองค์กรผ่านช่วงเวลานี้ไปให้ได้และไม่เพียงแค่ให้อยู่รอดแต่ต้องเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งต้องควบคู่ไปพร้อมๆกับการดูแลสิ่งแวดล้อม ผ่านหลักการ BCG economy
ไพโรจน์ สมุทรธนานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมนำ ดิจิทัลมาปรับปรุงการผลิตรวมทั้งคิดวิธีการใหม่ๆ เกี่ยวกับเทคโนโลยีของผลิตภัณฑ์ใหม่โดยกำลังศึกษา ควบคู่กับความยั่งยืนนำองค์กรก้าวไปสู่ Net Zero ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ รวมทั้งการนำไบโอโปรดักส์มาดำเนินธุรกิจเพื่อตอบนโยบาย BCG economy ด้วย และหาแหล่งเงินทุนสำหรับกลุ่มธุรกิจสีเขียวและสุขภาพมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการดำเนินธุรกิจปีนี้จะเป็นการดำเนินธุรกิจท่ามกลางปัจจัยน้ำมันและอัตราดอกเบี้ยสูง บริษัทมั่นใจว่าปีนี้จะยังคงเติบโตกว่าปีที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยจากการปรับปรุงโรงงานในปีที่ผ่านๆ มาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนในการผลิตลดลง จัดหาสต็อกคงคลังเองเพื่อให้ได้ราคาที่ถูกลงสร้างการแข่งขันที่ดีขึ้น พร้อมติดต่อประสานงานกับคู่ค้าอย่างใกล้ชิดนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกัน
“ภาวะน้ำมันแพงเราจะบริหารจัดการแบบ just-in-time โดยดูระดับสต็อกไม่ให้สูงและต่ำจนเกินไป ซึ่งขณะนี้โรงงานของเราสามารถคงกระบวนการผลิตที่ค่อนข้างนิ่ง จากการบริหารจัดการที่ดี โดยปัจจุบันมีปริมาณสินค้าคงคลังประมาณ 25 วัน เราจะต้องแข่งขันจัดการสินค้าให้ได้ราคาดีที่สุด รวมถึงคุณภาพที่ดีที่สุด และโฟกัสตลาดใหม่ๆ รองรับตัวนโยบายที่ไม่แน่นอน โดยสิ่งที่จะโฟกัสโอกาสใหม่ๆ เริ่มพูดกันเยอะคือน้ำมันดีเซลเขียวคือไบโอดีเซลเราเริ่มศึกษารวมทั้งไบโอเคมิคอลด้วยซึ่งเป็นตัวสารตั้งต้นของไบโอก๊าซและสุดท้ายเรามองหาโอกาสใหม่ๆที่จะทำธุรกิจสีเขียว”
สำหรับกลยุทธ์หลักมี 3 ด้าน ประกอบด้วย 1. ทำธุรกิจปัจจุบันให้แข็งแรง เพื่อรักษาตลาด โดยการพูดคุยให้ความรู้กับเกษตรกรสวนปาล์มเพื่อผลิตน้ำมันปาล์มให้มีประสิทธิภาพตามมาตรฐาน ที่ปัจจุบันได้ร่วมกับองค์กรอิสระจากประเทศเยอรมัน 2. ดูแลทางด้านผลิตภัณฑ์โดยเฉพาะกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพและความปลอดภัย และ 3. คิดค้นนวัตกรรมใหม่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ให้ดีที่สุด คาดว่าการดำเนิงานปีนี้จะดีกว่าปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้วางเป้าปี 2573 จะขยายไบโอฟิล์มเป็น 40%โดยหลักมาจากการต่อยอดไบโอดีเซลสีเขียว พร้อมยกระดับการดำเนินการอย่างยั่งยืนและจริงจังเกี่ยวกับ BCG Model ที่ดำเนินการร่วมกับกลุ่มพาร์มเนอร์ อาทิ บริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KTIS ผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่องครบวงจร ใน"โครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ เฟส 1" เพื่อเป็นต้นแบบ BCG Model
“โครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์เฟส 1 ตอนนี้เดินเครื่องจักรแล้ว และเริ่มหีบอ้อยแล้วราว 2 แสนตัน จะผลิตเอทานอลปลายเดือนนี้ ยอมรับว่าถือเป็นเฟสแรกที่เริ่มต้นกำลังผลิตอาจไม่ตรงกับเป้าที่เคยวางไว้ แต่พยายามจะทำให้ใกล้เป้ามากที่สุด ส่วนรายได้ภาพรวมคิดว่าตรงกับที่วางไว้ก่อนที่จะลงทุนแต่ยังให้ตัวเลขตอนนี้ไม่ได้ขอดูการดำเนินธุรกิจของโรงงานสักระยะ”
นอกจากนี้ ทิศทางการดำเนินงานในปี 2565 จะมุ่งมั่นในการสร้างรากฐานที่เข้มแข็ง สร้างความสามารถในการแข่งขันในอนาคต เพื่อก้าวสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในระดับสากล ผ่าน 3 ยุทธศาสตร์สำคัญ คือ
1.ยุทธศาสตร์การยกระดับความสามารถในการแข่งขัน เพื่อให้ธุรกิจของบริษัทฯ มีความเข้มแข็งและมีศักยภาพในการแข่งขันในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่มีความท้าทายบริษัทฯ ต้องเร่งการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและมีความยืดหยุ่น และสร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง โดยมุ่งเน้นการสร้างฐานตลาดและการขายให้เข้มแข็ง, การบริหารจัดการด้าน Supply Chain ให้มีประสิทธิภาพโดยบริหารจัดการต้นทุนได้ดีที่สุด และมุ่งเน้นการรักษาความมั่นคงด้านการผลิต รวมถึงความเป็นเลิศด้านปฏิบัติการ
2.ยุทธศาสตร์การเติบโตในธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม ภายใต้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่มีความผันผวนและอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพที่มีการแข่งขันสูง บริษัทฯ พิจารณาการต่อยอดทางธุรกิจไปสู่ด้านเคมีภัณฑ์และพลาสติกชีวภาพมากขึ้น เพื่อลดแรงกดดันทางธุรกิจและสามารถเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ปัจจุบันมากขึ้น รวมถึงการตอบรับกับโอกาสทางธุรกิจจากแนวทางและมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมในประเทศต่างๆทั่วโลก ซึ่งผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ชีวภาพ (Biochemicals) และพลาสติกชีวภาพ (Bioplastics) ยังเป็นหนึ่งในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจของ GC Group
3.ยุทธศาสตร์การสร้างความยั่งยืนทางธุรกิจ (Sustainability Development) ซึ่งเห็นโอกาสยกระดับการดำเนินการด้านความยั่งยืนอย่างจริงจังและมีการเชื่อมโยงโอกาสและต่อยอดทางธุรกิจมากขึ้น โดยการเป็นต้นแบบในการพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวม ทั้ง 3 มิติ (BCG Role Model) ผ่านการลงทุนในนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ การใช้พลังงานที่ไม่ทำให้เกิดคาร์บอนไดออกไซด์ (Decarbonization Pathway)และการปรับรูปแบบการดำเนินงานด้านความรับผิดชอบต่อสังคมของบริษัทฯ (CSR) สู่รูปแบบการสร้างสมดุลทางธุรกิจขององค์กรด้วยการพัฒนากิจกรรม/โครงการความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างยั่งยืน (CSV & SE Model) โดยใช้ Governance, Risk Management and Compliance (GRC) มาพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการจัดการภายใน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายองค์กร
ทั้งนี้ ผลดำเนินงานโดยรวมปี 2564 พบว่า มีรายได้จากการ ขายรวมทั้งหมด 20,923 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นจากปี 2563 ราว 15% และมี Adjusted EBITDA จํานวน 1,121 ล้านบาท โดยรับรู้ผลกระทบจาก Stock Gain & NRV จํานวน 403 ล้านบาท ส่งผลให้ใน ปี 2564 มีกําไรสุทธิก่อนรวมผลกระทบจากรายการพิเศษที่ 774 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2563 จํานวน 214 ล้านบาท หรือคิดเป็น 38% ถือว่าสูงที่สุดในรอบ 3 ปี